Parents One

ค่านิยมทางเพศผิดๆ ที่ผู้ใหญ่ชอบปลูกฝังให้เด็กจนติดเป็นนิสัย

ค่านิยมทางเพศ เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่รุ่นก่อนได้ปลูกฝังความคิดให้เเก่เด็กๆ จนกลายเป็นนิสัย งานวิจัยของ John Hopkins Medicine ยืนยันว่า มันคืออาวุธที่ย้อนกลับมาทำร้ายเด็กๆ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ และนำไปสู่ความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV การฆาตกรรม การฆ่าตัวตาย รวมทั้งภาวะติดแอลกอฮอล์ในอนาคต ซึ่งค่านิยม หรือวัฒนธรรมต่างๆ นั้นขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งประสบการณ์ที่ถูกปลูกฝังขึ้นมานั่นเอง

เด็กทุกคนมักจะถูกปลูกฝังให้กตัญญูต่อผู้ให้กำเนิด เเต่จริงๆ แล้ว เด็กควรได้มีชีวิต และความคิดเป็นของตัวเองหรือเปล่า? จะดีแค่ไหน ถ้าเรามาลองปรับแผนความคิดทั้งฝั่งของผู้ใหญ่ และเด็กให้ตรงกัน เพื่อปรับเปลี่ยนมุมมองเรื่องค่านิยมทางเพศที่จะถูกส่งผ่านไปยังเด็กๆ ให้ทันก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นความหวังในอนาคตอันใกล้ของสังคมนั่นเอง

ค่านิยมทางเพศผิดๆ ของเด็กผู้ชาย VS เด็กผู้หญิง

เรามักถูกปลูกฝังกันมาตั้งแต่เด็กๆ เรื่องความเป็นผู้นำของเด็กผู้ชาย ซึ่งเราไม่เคยได้ถามความคิดเห็นของพวกเขาก่อนเลยว่าต้องการไหม? เด็กผู้ชายทุกคนอาจไม่ได้ต้องการเป็นผู้นำ ซึ่งเด็กผู้หญิงบางคนก็ไม่ได้ต้องการเป็นผู้ตามเช่นกัน ตรงกันข้ามเด็กผู้หญิงอาจจะมีความทะเยอทะยานมากกว่าเด็กผู้ชายเสียอีก เพราะเชื่อว่าตัวเองสามารถเป็นอะไรที่เด็กผู้ชายเป็นได้เหมือนกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้หลายๆ ครั้ง เด็กผู้ชายจึงเกิดอาการเก็บกดภายในตัวเองว่าตัวฉันจะต้องเข้มเเข็งนะ ซึ่งตรงกันข้ามกับในจิตใจที่แสนจะอ่อนแอเหลือเกิน แต่กลับไม่กล้าบอกให้คนอื่นได้รับรู้ เพราะถูกปลูกฝังมาให้เป็นเด็กที่เข้มแข็งตลอดเวลา ทำให้ในอนาคตคอาจเกิดเป็นโรคซึมเศร้า หรือภาวะเครียดสะสมขึ้นได้

เราจึงควรสอนให้เด็กทุกคนรู้จักความเท่าเทียมกัน รวมทั้งปลูกฝังในเรื่องการดูแลตัวเองให้เป็น เพราะไม่ใช่หน้าที่ของเพศใดเพศหนึ่ง แต่ทุกคนต้องดูแลกันและกัน เห็นใจผู้อื่น รู้หน้าที่ของตัวเอง จึงจะทำให้สังคมของเราน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

 

การร้องไห้ และแสดงความอ่อนแอไม่ใช่เรื่องที่ผิด หรือน่าอายสำหรับเพศใดเพศหนึ่ง การเป็นเด็กผู้ชายไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งเสมอไป เราจึงต้องมีการปลูกฝังความคิดของเด็กเสียใหม่ เช่น

ถ้าลูกเจ็บไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้หญิงหรือเด็กผู้ชาย ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะร้องไห้ได้ ลองถามลูกว่า เจ็บมากไหม? ร้องไห้ได้นะ ลูกจะได้ไม่เป็นเด็กเก็บกด หรือเก็บปัญหาไว้กับตัวเอง เนื่องจากไม่ได้แสดงออกในสิ่งที่ตัวเองอยากแสดงที่แท้จริง เมื่อพวกเขาเริ่มโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่นั่นเองค่ะ

 

งานบ้านไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่งภายในบ้าน แต่เป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องช่วยกันรักษาความสะอาด เราจึงไม่ควรผลักภาระหน้าที่ทั้งหมดให้กับลูกที่เป็นผู้หญิง แต่ควรสอนให้ช่วยกันทำงานบ้าน หรือรู้จักแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบกันมากกว่า

 

เรามักจะเคยชินกับความคิดที่ว่าผู้ชายเจ้าชู้นั้นเป็นเรื่องปกติ ซึ่งจะให้ความรู้สึกแตกต่างกับผู้หญิงที่เจ้าชู้ เพราะจะถูกมองว่าเป็นคนไม่ดี และถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากกว่าผู้ชาย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ไม่ควรเจ้าชู้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าความคิดที่เราถูกปลูกฝังกันมาตั้งแต่เด็กๆ ยอมรับให้ผู้ชายเป็นฝ่ายที่สามารถเจ้าชู้ได้มากกว่านั่นเอง

ในขณะที่เด็กผู้หญิงกลับถูกปลูกฝังให้รักนวลสงวนตัว ไม่ให้เข้าใกล้ผู้ชาย เพราะจะถูกหาว่าทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม เด็กผู้หญิงจึงกรอบความคิดนี้ครอบงำอยู่ ซึ่งในความเป็นจริง เราควรจะสอนถึงความเหมาะสมในการเข้าหาเพศตรงข้ามเสียมากกว่า ไม่ใช่ไปห้าม หรือไปจำกัดขอบเขตของเพศใดเพศหนึ่ง

 

เด็กผู้ชายมักจะได้อิสระในการผจญภัยออกเดินทางไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม ซึ่งตรงข้ามกับเด็กผู้หญิง ที่ผู้ใหญ่มักจะเป็นห่วง ทำให้บางครั้งเกิดการปิดกั้นโอกาสของเพศหญิงมากกว่าเพศชายนั่นเอง

จะดีกว่าไหม ถ้าเราเริ่มสอนลูกไม่ว่าจะเป็นเพศไหนได้มีโอกาส และอิสระเสรีความเสมอภาคอย่างเท่าเทียมกันทั้ง 2 ฝ่าย จะได้ไม่ต้องมีการเสียเปรียบกันเกิดขึ้น แต่ถ้ากลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์อันตรายกับเด็กผู้หญิง เราก็ควรที่จะให้เด็กเรียนรู้วิธีในการเอาตัวรอดในการใช้ชีวิตมากกว่าที่จะไปปิดกั้นโอกาสต่างๆ ในชีวิตของเด็กเหล่านั้นค่ะ

 

ผู้ใหญ่มักจะชอบปลูกฝังความคิดในการแสดงออกทางความคิดเห็น และมักฟัง หรือเปิดใจให้กับคนที่เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง แต่เราต้องเปลี่ยนความคิด เพราะในสมัยนี้ไม่ว่าจะเป็นใคร หรือเป็นเพศอะไรก็ตาม พวกเขาก็สามารถที่จะออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองได้ทั้งนั้น เพราะทุกคนมีสิทธิ และเสรีภาพเท่าเทียมกันในสังคมแห่งนี้

 

เพราะฉะนั้นการเลี้ยงดู และการปลูกฝังของผู้ใหญ่ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และมีอิทธิพลอย่างมากที่จะกลายเป็นนิสัยของลูกน้อยนั่นเองค่ะ