Parents One

โรคที่มากับหน้าหนาว+วิธีดูเเล

ตอนนี้เข้าหน้าหนาวแล้ว ถือได้ว่าหนาวกว่ามทุกปีเลยก็ว่าได้ เสี่ยงต่อการเป็นโรคที่มากับหน้าหนาวมากเลยล่ะค่ะ มารู้จักกับโรคที่มากับหน้าหนาวและวิธีดูแลเมื่อเกิดโรคกันดีกว่าค่ะ

โรคไข้หวัด

ไข้หวัดเป็นโรคที่สามารถเป็นได้ทุกฤดูกาลอยู่แล้ว แต่ในหน้าหนาวนี้คุณแม่ต้องระวังนิดนึง เพราะจะเป็นได้ง่ายและบ่อยขึ้น จะประมาทกับโรคนี้ไม่ได้ เพราะถ้าดูแลรักษาอาการไม่ดีหรือไม่ดีขึ้น ก็อาจจะทำให้กลายเป็นไข้หวัดใหญ่ไปได้ง่าย ๆ สำหรับไข้หวัดนั้น เกิดจากเชื้อไวรัส ที่ทำให้เกิดโรคในทางเดินหายใจ เชื้อที่พบง่ายคือเชื้อ “ไรโนไวรัส” ที่ทำให้เกิดโรคไข้หวัดธรรมดาที่มักจะ เกิดอาการ คัดจมูก, น้ำมูกไหล, ไอจาม, คันคอ เป็นอาการนำ แล้วก็จะเริ่มมีไข้ หนาวสั่น ปวดศรีษะ และปวดเมื่อยตามตัว

วิธีการรักษา

โรคนี้สามารถรักษาได้โดยการ พักผ่อนให้มากๆ , ดื่มน้ำให้บ่อย, เช็ดตัวทุกชั่วโมงเมื่อมีอาการตัวร้อน และทานยารักษาตามอาการ แต่ถ้าลูกน้อยมีไข้ขึ้นสูงติดต่อกันนาน ขอให้คุณแม่รีบพาไปแพทย์ เพื่อดูอาการต่อไปค่ะ

โรคไข้หวัดใหญ่

ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่อาการจะคล้ายๆ กับไข้หวัดธรรมดา แต่จะมีอาการที่รุนแรงกว่า และอาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย! น่ากลัวเหมือนกันนะคะ ไข้หวัดใหญ่นี้เกิดจากการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลัน เชื้อต้นเหตุเป็น “อินฟลูเอ็นซาไวรัส” จะทำให้มีอาการหลายอย่าง ทั้งหนาวสั่น, ไข้ขึ้นสูง, เจ็บคอ, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและศรีษะอย่างรุนแรง และอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วยค่ะ

วิธีการรักษา

การรักษาจะคล้ายๆ กับโรคไข้หวัด เมื่อเริ่มเป็น ควรดื่มน้ำให้มากเพื่อลดอุณหภูมิของร่างกาย, เช็ดตัวทุกชั่วโมง และทานยารักษาตามอาการ แต่ถ้าไข้ขึ้นสูงเมื่อไหร่ให้รีบไปพบแพทย์โดยทันทีค่ะ

โรคปอดบวม

โรคปอดบวมเป็นภาวะปอดอักเสบ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย หรือ เชื้อไวรัสที่มีมากเกินไป จนทำให้มีหนอง และสารปนเปื้อนอย่างอื่นในถุงลม สาเหตุมักจะอยู่ในน้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วย สามารถแพร่กระจายออกมาเวลาไอ จาม หรือการสำลักน้ำลาย เศษอาหาร และน้ำย่อย อาการเด่น ๆ คือ ไอ, จาม, มีเสมหะมาก, แน่นหน้าอกจนหายใจไม่ออก, คัดจมูก แล้วเริ่มมีไข้สูงเกิน 2 วัน โรคปอดบวมมักจะพบหลังจากการเป็นไข้หวัดเรื้อรัง หรือในคนที่โรคหอบหืด พบบ่อยในฤดูหนาว โดยเฉพาะเด็กเล็กอายุระหว่าง 5 – 10 ขวบ หรือต่ำกว่า ถือว่าลูกมีโอกาสอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเหมือนกันค่ะ

วิธีการรักษา

โรคนี้ถือว่าเป็นโรคที่ค่อนข้างเรื้อรัง จึงต้องระมัดระวังในการรักษา หากไม่สบายต้องเฝ้าดูอาการ อย่างใกล้ชิด ควรดื่มน้ำบ่อยๆ พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่ย่อยง่าย และถ้าหากมีไข้ ตัวร้อนให้เช็ดตัวเรื่อยๆ แล้วทานยาลดไข้เพื่อรักษาอาการ อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น และหายภายใน 1 สัปดาห์ แต่ถ้าหากไม่ดีขึ้น มีอาการ ซึมลง, ไข้สูง, ทานอาหารและน้ำไม่ได้, ไอ, หายใจเร็ว, หายใจมีเสียง ให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วย เพราะนั่นคืออาการ ของโรคปอดบวมเริ่มแรก

โรคไข้หัด

หัดเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่เรียกว่า “รูบีโอราไวรัส” เป็น RNA ไวรัสที่พบได้มากในจมูก และลำคอของผู่ที่เป็น อาการของโรคจะคล้ายไข้หวัด คือมีไข้ก่อน แล้วจึงมีน้ำมูก มักไอแห้งตลอดเวลา ตาและจมูกจะแดง ในเด็กจะมีไข้สูงประมาณ 3 – 4 วัน แล้วจึงขึ้นผื่นแดง ๆ ที่หลังหู ลามไปยังหน้าและร่างกาย ผื่นจะค่อยๆ โตขึ้น และมีสีเข้มขึ้น สังเกตได้ว่าก่อนหน้าที่เด็กจะเป็น จะมีตุ่มใสๆ ขึ้นในปาก ตรงกระพุ้งแก้มและฟันกรามบน ซึ่งจะเป็นตุ่มที่เกิดเฉพาะในโรค “หัด” เท่านั้น และจะขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 24 ชม. พอผื่นออกได้ประมาณ 2 – 3 วัน อาการก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่สิ่งที่ต้องระวังคือ โรคแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม, อุจจาระร่วง, สมองอักเสบ, และหูชั้นกลางอักเสบ การติดต่อจะติดต่อทางลมหายใจ ไอ จาม รดกัน ช่วงเวลาเสี่ยงโรคนี้คือ “ฤดูหนาว” โดยเฉพาะในเดือนมกราคม จะมียอดของผู้ที่ป่วยเพิ่มขึ้นทุกปี ในกลุ่มเสี่ยงของโรคนี้คือ เด็กเล็ก และเด็กในวัยเรียน ช่วงอายุ 5 – 9 ขวบ ค่ะ

วิธีการรักษา

ให้ทานยาลดไข้ รักษาตามอาการ พาไปพบแพทย์ และไปตามนัดเสมอ เพื่อแพทย์ที่จะได้ติดตามรักษาอาการได้อย่างต่อเนื่องค่ะ

โรคอุจจาระร่วง

อุจจาระร่วงส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจาก “เชื้อโรต้าไวรัส” และมักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ที่พบบ่อยที่สุดคือเด็กอายุ 6- 12 เดือน เพราะเด็กในวัยนี้กำลังเป็นวัยเรียนรู้ และชอบที่จะหยิบของทุกสิ่งเข้าปาก โดยที่เชื้อตัวนี้จะแฝงอยู่ในสิ่งต่างๆ รอบตัวเด็ก มักจะพบได้มากในช่วง เดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์ อาการของโรค คือเด็กจะถ่ายเหลวเป็นน้ำ จะมีอาการไข้และอาเจียนร่วมด้วย มักมีก้นแดง โดยปกติแล้ว อาการถ่ายเหลวจะหายภายใน 3 – 7 วัน แต่คุณแม่ก็ยังต้องดูแลใกล้ชิด

วิธีการรักษา

หากเด็กถ่ายมากจนเสียน้ำ ให้จิบสารละลายเกลือแร่ น้อยๆ แต่บ่อยๆ ไปทั้งวันเพื่อรักษาอาการขาดน้ำ สังเกตง่ายๆ คือเด็กจะเริ่มปากแห้ง กระหายน้ำ ปัสสาวะน้อย ก็ในจิบโดยทันที แต่ถ้าเด็กไม่สามารถทานเกลือแร่ได้ ก็ต้องใช้เป็นการให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดแทน และอย่างดอาหาร เพราะจะยิ่งทำให้ร่างกาย ขาดสารอาหารซ้ำเข้าไปอีก เพียงแต่เปลี่ยนอาหาร ให้เน้นอาหารจำพวกแป้งและโปรตีน ทีละน้อยๆ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผักและผลไม้ ส่วนเด็กที่ยังดื่มนมอยู่ ก็ให้ดื่มนมได้ตามปกติ และสังเกตลักษณะ ของอุจจาระด้วยว่า มีเลือด หรือมูกเลือดปนออก มาด้วยหรือไม่ ถ้ามีปนออกมาแล้วมีอาการหวัดร่วมด้วยให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาต่อไปค่ะ

โรคไข้สุกใส

เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ “วาริเซลลาไวรัส” หรือ “Human herpesvirus type 3” ติดต่อได้โดยการสัมผัสตุ่มน้ำใสโดยตรง หรือการสัมผัสของใช้ เช่น แก้วน้ำ, ผ้าเช็ดหน้า เช็ดตัว, ผ้าห่ม, ที่นอน หรือสูดหายใจเอาละอองของตุ่มน้ำเข้าไป พบมากในเด็กวัยเรียนที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี โดยเฉพาะในเด็กอายุ 5 ขวบขึ้นไป ในผู้ใหญ่จะพบได้น้อยกว่า มักจะเกิดกับผู้ที่ยังไม่เคยเป็นโรคนี้มาก่อน สำหรับคนที่เคยเป็นแล้ว ก็จะไม่กลับมาเป็นอีก โรคสุกใสจะมาในช่วงปลายฤดูหนาว เดือนมกราคม – มีนาคม แต่ก็พบได้ประปรายตลอดทั้งปี อาการจะมีไข้ต่ำๆ , เบื่ออาหาร, ปวดเมื่อยตามร่างกาย อาการจะคล้ายๆ ไข้หวัดใหญ่นำมาก่อน แต่จะมีผื่น หรือตุ่มขึ้นตามมาทันที เริ่มแรกจะขึ้นเป็นผื่นแดงก่อน แล้วก็จะกลายเป็นตุ่มน้ำใสๆ และมีอาการคัน ต่อมาก็จะกลายเป็นหนอง ตุ่มจะขึ้นตามไรผม แล้วลุกลามไปยัง หน้า แขน ขา ลำตัว และแผ่นหลัง จะทยอยขึ้นจนหมดทั้งตัว ภายใน 4 วัน หลังจากนั้น จะแห้งและตกสะเก็ดไปเองใน 5 – 10 วัน และอาการไข้ก็จะเริ่มค่อยๆ ดีขึ้น

วิธีการรักษา

ให้รักษาตามอาการ เมื่อมีไข้ก็ให้ทานยาลดไข้ งดการใช้ของร่วมกับผู้อื่น ให้หยุดพักจนกว่าจะหายดี และห้ามไปแคะ แกะเกา บริเวณตุ่ม เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบ เป็นแผลเป็นได้ โดยส่วนมากโรคนี้ ไม่ต้องไปพบแพทย์ เพราะจะมีอาการป่วยไม่นาน ไม่มีโรคแทรกซ้อน และจะอาการหายไปเอง

วิธีดูแลลูกและตัวคุณแม่เองไม่ให้เกิดโรคเหล่านี้

โรคเหล่านี้ถือได้ว่ามีโอกาสเป็นได้ง่ายในฤดูหนาวนี้ คุณแม่ควรศึกษาไว้ก่อนก็ดีจะได้รับมือได้ทัน ยังไงขอให้กันไว้ดีกว่าแก้นะคะ ดูแลร่างกายทั้งลูกและคุณแม่ให้แข็งแรงอยู่เสมอ จะได้ห่างไกลจากโรคภัยและสุขภาพดีต้อนรับหน้าหนาวค่ะ

ที่มา – honestdocs