ตอนเป็นเด็กเรียนภาษาอังกฤษ เอ บี ซี ดี มาตั้งแต่ประถม ถึงท่องจำแต่นำไปใช้จริงก็ตอนทำงาน หรือสอบเข้ารียน ในสมัยแม่ๆ จึงแทบไม่มีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษกันจริงๆ ถ้าใครเรียนแล้วชอบภาษาก็ดีไป แต่ถ้าใครไม่ชอบก็จะเกิดความกลัว ไม่กล้าพูด พอต้องคุยกันซึ่งๆ หน้า ลิ้นก็พันกัน จนอยากจบบทสนทนาซะเดี๋ยวนั้น
เหลือบตาไปเห็นหน้าลูกตาดำๆ จึงคิดว่ามันจะดีไหมนะ ถ้าเราฝึกลูกให้เค้ารู้จักภาษาอังกฤษ ให้เค้ากล้าใช้ไม่เขิน ไม่อายที่จะใช้มัน และได้ฝึกภาษาอังกฤษตั้งแต่ยังเล็ก เลยได้หลักการของบ้านเราเป็น Tips ดีๆ ที่มีแนวทางสร้างลูกสองภาษา แบบเด็กยุคใหม่พูดอังกฤษไฟแล่บ ถึงเเม้ลูกเราจะไม่ได้เรียนอินเตอร์ ตามไปดูกันเลยค่ะ
Tips 1 แบ่งหน้าที่ของพ่อกับแม่ ทำตัวเหมือนลูกเราเป็นลูกครึ่ง
เมื่อมองหน้ากันแล้ว ดูประวัติการศึกษาอันยาวเหยียด และดูทรงภูมิของแต่ละคน เมื่อเลือกได้แล้วว่าใครจะเป็นเมนหลักของภาษาไหน ระหว่างไทย กับ อังกฤษ ก็แบ่งเลยค่ะ บ้านนี้พ่อดูทรงภูมิและแข็งแรงกว่า จึงรับหน้าที่เมนหลักในการพูดภาษาอังกฤษกับลูกไป
พ่อ : อังกฤษ 100% ตั้งแต่ลูกเกิด
แม่ : ไทย 100% ตั้งแต่ลูกเกิด
Tips นี้ ใช้หลักการเปรียบเสมือนว่า ลูกเราคือลูกครึ่ง พ่อฝรั่ง แม่ไทย เด็กลูกครึ่งที่พ่อเค้าเป็นคนต่างชาติ ถ้าเค้าอยู่ด้วยกันกับพ่อตลอด เด็กก็จะพูดภาษาทั้งของพ่อและแม่ได้โดยธรรมชาติ เพราะหลักการในการเรียนรู้ของทุกภาษาเกิดจากการได้ยินได้ฟังและนำไปใช้ เหมือนตอนที่เราเป็นเด็กเราก็ยังพูดไม่ได้สักภาษาและเราได้ยินแม่พูดกับเรามาตั้งแต่ในท้องเป็นภาษานี้ ได้ยินทุกวันๆ ก็จำได้ และเวลาที่ถึงจุดที่เราพูดได้ เราก็จะนำสิ่งที่เราจำได้นั้นมาใช้เอง แรกๆ ก็มีพูดถูกพูดผิด แต่ก็จะปรับไปเรื่อยๆ จนถูกต้องในที่สุด
ผล : เมื่อเราทำตามหลักการที่ 1 แล้ว ลูกก็จะสื่อสารอังกฤษกับพ่อ และไทยกับแม่ โดยอัตโนมัติ เหมือนเด็กลูกครึ่งเลยค่ะ
Tips 2 ใช้ภาษาง่ายๆ ไม่ต้องยืดยาว หรือโชว์ความสามารถทางภาษามากนัก
ภาษาอังกฤษที่พ่อใช้พูดกับลูกก็ควรเป็นภาษาอังกฤษแบบเบสิค แต่เป็นภาษาอังกฤษที่ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องโชว์เหนือ เอาศัพท์แสงยากๆมาคุยกะลูกตอนนี้ เก็บไว้ฝึกให้เค้าเค้าโตก็ไม่สายนะคะ บางบ้านใช้คำศัพท์ยาก หรือบางทีลูกเราสองขวบเจอผู้ใหญ่มาคุยด้วย เพราะเห็นเราคุยภาษาอังกฤษกับลูก ก็มาใส่ลูกเราซะไฟแล่บ ลูกเราก็เอ๋อสิคะ เด็กสองขวบค่ะคู๊ณณณ พูดชื่อตัวเองยังไม่ชัดเลย ถามเค้าแค่ “What’s your name?” เค้าตอบได้ก็เก่งแล้วค่ะ
Tips 3 หาตัวช่วย หนังสือภาษาอังกฤษ ไอแพด แท็บเล็ต
(ควรเริ่มตั้งเเต่ 2 ขวบ++ และ จำกัดเวลา)
หนังสือภาษาอังกฤษจำพวกนิทาน หรือหนังสือที่สอนเรื่องต่างๆ ใช้เป็นเครื่องมือในการสอนภาษาลูกได้อย่างดีเสมอ รวมถึงไอแพด แท็บเล็ต ก็มีประโยชน์เหมือนกันถ้าเรารู้จักใช้มันอย่างถูกต้อง คือ เปิดให้ลูกดูเพลงภาษาอังกฤษ หรือการ์ตูนสั้นๆ โดยที่เราดูด้วยกันกับลูก คอยอธิบาย โต้ตอบ โดยไม่ได้ทิ้งลูกอยู่ลำพังกับเครื่องมือนี้นั้น ก็จะพบว่าลูกได้เรียนรู้สำเนียงของเจ้าของภาษา ทำให้ลูกคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษ และปรับสำเนียงการพูดของตนเองให้เหมือนเจ้าของภาษามากยิ่งขึ้น
แต่ควรใช้เมื่อลูกอายุสองขวบขึ้นไปนะคะ การ์ตูนที่แนะนำ Peppa Pigs , Ben and Holly และถ้ามีโอกาสพาลูกไปเที่ยวต่างประเทศ ก็ขอให้พาไปเพื่อให้ลูกได้เห็นการใช้ภาษาของประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักด้วยค่ะ
Tips 4 ไม่ยัดเยียด ใช้หลักธรรมชาติในการสอน และไม่เปรียบเทียบ
การสอนภาษาอังกฤษลูก ไม่ต้องคาดหวังว่าลูกจะต้องเข้าใจและสื่อสารได้เมื่อไหร่ เพราะเด็กแต่ละคนการรับรู้และความเข้าใจไม่เท่ากัน เค้าจะแสดงออกมาเมื่อเค้าพร้อมเอง บางคนเข้าใจที่เราพูดทุกอย่าง แต่ไม่ยอมพูด แต่พอถึงเวลาที่เค้าพร้อมจะพูดแล้วละก็ ไฟแล่บเลยค่า ไม่ต้องห่วง เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องสอนแบบธรรมชาติค่อยเป็นค่อยไป ไม่นานค่ะเห็นผลแน่นอน และก็อย่านำลูกเราไปเปรียบเทียบกับลูกบ้านอื่นที่สอนลูกให้เป็นเด็กสองภาษาด้วยนะคะ เพราะแต่ละบ้านจะมีพื้นฐานและวิธีการสอนที่อาจไม่เหมือนกันทั้งหมด รวมถึงศักยภาพของแต่ละบ้านด้วยค่ะ จึงไม่ควรนำมาเปรียบเทียบเลยจริงๆ
Tips 5 อย่าล้มเลิกกลางคัน มุ่งมั่น ทำต่อเนื่องจะเห็นผลในไม่ช้า
คุณพ่อหรือคุณแม่ที่รับหน้าที่เป็นหลักในภาษาอังกฤษต้องมีความสม่ำเสมอทำไปเรื่อยๆ ให้เป็นธรรมชาติ อย่าล้มเลิกกลางคันเด็ดขาด เพราะถ้าล้มเลิกกลางคันก็เท่ากับที่ทำมาแต่ต้นล้มเหลวทันที แต่ถ้าเรามุ่งมั่นทำตลอดต่อเนื่อง รับรองว่าเห็นผลแน่นอนค่ะ เป็นกำลังใจให้ทุกๆ บ้านสร้างเด็กสองภาษาให้สำเร็จในแบบฉบับของแต่ละบ้านนะคะ สู้ๆ คุณพ่อคุณแม่ คุณทำได้
รู้ Tips ดีดี กันไปแล้ว ลองไปปรับใช้กันดูนะคะ แต่ยังไงก็อย่าลืมภาษาไทยของเรา ต้องแข็งแรงด้วย เด็กสองภาษาส่วนใหญ่ ช่วงแรกๆ จะพูดไทยไม่ค่อยชัดเพราะเค้าจะสับสนกับภาษาอังกฤษนิดๆ แต่สักระยะ เค้าจะปรับตัวได้เอง คุณพ่อคุณแม่หรือคนในบ้าน ก็ต้องใช้ภาษาไทยกับน้องให้ชัดถ้อยชัดคำนะคะ น้องๆ จะได้พูดภาษาไทยไม่เพี้ยนไปค่ะ
“บทความโดยคุณเชอรี่ เข้าของเพจ โอ..มายลูก” link https://www.facebook.com/OhMyLuKmommy2K/