อย่างที่รู้กันว่าโอเมก้า 3 เป็นสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย มีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองและดวงตา ซึ่งสำคัญต่อสตรีในระยะตั้งครรภ์ ซึ่งโดยส่วนมากเราจะคิดกันว่าโอเมก้า 3 มีมากในปลาแซลมอนหรือปลาจากต่างประเทศชนิดอื่นๆ ซึ่งมีราคาค่อนข้างสูง แต่จริงๆ แล้วในปลาทะเลและน้ำจืดไทยอย่างปลากะพง ปลาทู ปลาช่อน ปลาสลิด ก็มีโอเมก้า 3 สูงเช่นกัน
แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ปลาเป็นอาหารที่มีโภชนาการสูงเป็นแหล่งโปรตีนและแร่ธาตุสำคัญต่าง ๆ เช่น ไอโอดีน รวมถึงโอเมก้า3 ซึ่งเป็นสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ประกอบด้วยกรดไขมัน 2 ชนิด คือ
- อีพีเอ (EPA) ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดอุดตัน ช่วยสร้างสารเข้าไปขยายหลอดเลือดช่วยลดการจับตัวของเกร็ดเลือด ลดการสังเคราะห์ไตรกลีเซอไรด์
- ดีเอชเอ(DHA) มีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองและดวงตา
ซึ่งสำคัญต่อสตรีในระยะตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนก่อนคลอด และระยะให้นมบุตรช่วยให้สมองทารกพัฒนาอย่างสมบูรณ์แต่หากรับกรดไขมันกลุ่มนี้มากเกินไปจะทำให้สมดุลของกรดไขมันบนผนังเซลล์ต่าง ๆ เป็นปัญหา จึงต้องกินในปริมาณที่เหมาะสม
สำหรับปลาไทยที่มีคุณค่าทางโภชนาการและโอเมก้า 3 สูงได้แก่
- ปลาทะเล – ปลาจะละเม็ดขาว ปลาสำลี ปลากะพงขาว ปลากะพงแดง ปลาอินทรีย์ ปลาทู ปลาจะละเม็ดดำ ปลาเก๋า
- ปลาน้ำจืด – ปลาดุก ปลาสวาย ปลาช่อน ปลาสลิด ปลาตะเพียน ปลากราย ปลานิล และปลาไหล
ซึ่งปลาเหล่านี้เป็นปลาที่หาได้ง่าย ราคาไม่แพง และมีขายอยู่ทั่วไป
แพทย์หญิงนภาพรรณ วิริยะอุตสาหกุล ผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กล่าวเพิ่มเติมว่า หญิงตั้งครรภ์ควรกินเนื้อปลาวันละ 2 ช้อนกินข้าวทุกวัน หรือกิน 4 ช้อนกินข้าววันเว้นวัน กินร่าวมกับเนื้อหนู เนื้อไก่ ตับ ไข่ ปลาเล็กปลาน้อย ถั่วแมล็ดแห้ง ต้าหู้ให้ได้เนื้อสัตว์รวมวันละ 12 ช้อนกินข้าวต่อวันอย่างสม่ำเสมอ
ส่วนการเลือกปลาควรเลือกซื้อปลาที่มีเนื้อแน่น กดไม่บุ๋ม ไม่มีกลิ่นเหม็น เหงือกมีสีแดงสด ตากลมใส เกล็ดต้องมันเป็นเงา ไม่หลุดออกจากตัวหรือ ใต้ท้องปลาไม่แตกออก เพราะอาจทำให้เชื้อโรคปนเปื้อนในเนื้อปลาได้ง่าย นอกจากนี้ ควรปรุงอาหาร ด้วยวิธีการยำ ต้ม นึ่ง อบ เลี่ยงการปรุงอาหารด้วยวิธีผัด ทอด และลดการปรุงอาหารหวาน มัน เค็ม เพื่อสุขภาพที่ดี
อ้างอิงจาก
https://www.anamai.moph.go.th/ewt_news.php?nid=11724&filename=index