ในโลกปัจจุบันที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว เราคงไม่ทันได้สังเกตว่าความน่ากลัวในสังคมอย่างเรื่องการคุมคามของเพศของเด็กกำลังเกิดขึ้นอยู่ทุกวันและใกล้ตัวเรามากขึ้นเรื่อยๆ ใกล้ขนาดที่จากปกติเราต้องระวังคนแปลกหน้ากลับต้องเริ่มระวังคนรู้จักที่รู้หน้าไม่รู้ใจ และขยับใกล้เข้ามาอีกคือระวังแม้แต่เครือญาติของตัวเอง
บางครั้งเราอาจคิดว่าคนใกล้ตัวนั้นไว้ใจได้และมีความน่าเชื่อถือมากพอที่จะให้คอยช่วยดูแลและเลี้ยงดูบุตรหลานในบ้าน แต่อย่าลืมว่ายิ่งทำให้เด็กและตัวเราไว้วางใจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้การระมัดระวังตัวของเราน้อยตามลงไปด้วย
ดังนั้นแล้วเมื่อเกิดความผิดปกติใดๆ ก็ต้องรีบสังเกตอย่างฉับไวว่าเด็กๆ ที่บ้านมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมๆกันหรือไม่
อาการที่บ่งบอกว่าถูกล่วงละเมิด
- พฤติกรรมเปลี่ยนฉับไว
- เริ่มมีอาการตื่นตระหนก, หวาดกลัว
- เกิดร่องรอยบาดเจ็บตามจุดลับที่ไม่น่าเกิดจากโรคหรือความเจ็บป่วย
- มีความระแวดระวังบุคคลหรือกลุ่มคนบางกลุ่มเป็นพิเศษ
- ไม่กล้าอยู่เพียงลำพัง
- เกิดการทำร้ายตัวเอง, ซึมเศร้าไม่พูดไม่จา
- ฝันร้ายหรือนอนไม่หลับอยู่ซ้ำๆ
หากเข้าข่ายเกิน 2-3 ข้อผู้ใหญ่อย่างเราก็ต้องรีบเข้าไปดูแลและถามไถ่เพราะแม้จะไม่ใช่การถูกคุกคามแต่ถ้าเด็กในบ้านมีอาการร่วมเข้ามากๆ ก็อาจจะเกิดปัญหาทางจิตใจในด้านอื่นอยู่ก็เป็นได้เช่น ถูกรังแกหรือข่มขู่จากบุคคลอื่นๆ, มีปัญหาภายในครอบครัวหรือโรงเรียน ซึ่งเรื่องของสภาพจิตใจเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเกินจะคาดเดา จำต้องค่อยๆ เข้าไปช่วยด้วยความเป็นมิตรเห็นอกเห็นใจ มากกว่าการดุด่าหรือตำหนิติเตียน
การเข้าหาและช่วยเหลือ
- พูดคุยและปลอบโยน, แสดงความเป็นห่วงเป็นใย
- มีสติรับฟังเรื่องที่เด็กเล่าแม้จะรู้สึกเหลือเชื่อ, ไม่น่าเป็นไปได้ก็ตาม
- ไม่คาดคั้นหรือบีบบังคับให้เล่าทุกอย่างในทันทีเพราะบางครั้งตัวเด็กยังมีอาการตื่นกลัว, ไม่สามารถประติดประต่อเรื่องได้
- พยายามอยู่เป็นเพื่อนหรือไม่ปล่อยให้เด็กอยู่ลำพัง
- หากมีหลักฐานมากพอติดต่อหน่วยงานให้ช่วยเหลือเพื่อความปลอดภัยของตัวเด็กและช่วยหยุดพฤติกรรมนี้ไม่ให้เด็กคนอื่นต้องพบเจออีก
- พาเด็กไปตรวจร่างกายหรือรักษากรณีถูกกระทำมารุนแรง ในส่วนนี้เองรวมไปถึงการเก็บหลักฐานอีกด้วย
การถูกล่วงละเมิดทางเพศนั้นไม่ใช่เรื่องที่ควรเพิกเฉยไม่ว่าจะกับเด็กหรือผู้ใหญ่แต่เพราะเด็กนั้นยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ จึงเป็นหน้าที่ของคนที่แข็งแรงกว่าและมีพลังมากกว่าที่จะเข้ามาปกป้องและช่วยเหลือให้ชีวิตของพวกเขามีอนาคตที่ดีกว่าเดิม อย่าทำเมินไม่สนใจต่อความเปลี่ยนแปลงของลูกหลานที่บ้าน, อย่ากลัวที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือแม้ว่าผู้กระทำผิดจะเป็นคนภายในบ้านหรือคนมีชื่อเสียงน่าเคารพ
เพราะสิ่งที่เราจำเป็นและควรใส่ใจมากที่สุด คือ ความรู้สึกและอนาคตของเด็กคนนึงที่ควรจะได้มีชีวิตที่ดีต่อไป
ที่มา : thaichildrights.org , mgronline , thaihealth