ยาแก้ไอกลายเป็นยาสามัญประจำบ้านเมื่อลูกมีอาการไอ เจ็บคอ หรือไม่สบาย แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพชี้ว่าการรับประทานยาเหล่านี้อาจไม่ได้ผลหรือมีผลข้างเคียงที่รุนแรงโดยเฉพาะในเด็กเล็ก
ซึ่งยาแก้ไอที่มีส่วนผสมของสาร Codeine จัดเป็นกลุ่มยาแก้ไอที่เกิดอาการเสพติดของผู้รับประทานได้ ซึ่งเป็นสารในกลุ่มโอปิออยด์ (opioid) ใช้ออกฤทธิ์ระงับอาการปวด และระงับอาการไอ
จัดเป็นสารเสพติดชนิดที่ 2 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ที่ออกฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง จึงนิยมนำมาใช้ในทางการแพทย์ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ผสมในยาแก้ไอทั้งยาชนิดแคปซูล ยาชนิดเม็ด และยาชนิดน้ำ เพื่อระงับอาการปวดหรือระงับอาการไอ
ดังนั้นคำเตือนต่างๆ ที่ระบุว่าไม่ควรให้ยาแก้ไอและยาแก้ไข้หวัดแก่เด็กเล็กกลายเป็นเรื่องที่พบเห็นมากขึ้นในสหรัฐตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่สำนักงานอาหารและยาออกคำเตือนว่าไม่ควรให้ยาแก้ไอและยาแก้ไข้หวัดที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป แก่เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ
หลังจากนั้นทางบริษัทผู้ผลิตยาได้ออกคำเตือนว่าไม่ควรให้ยาแก้ไอและยาแก้ไข้หวัดแก่เด็กที่อายุต่ำกว่า 4 ขวบ ส่วนสถาบันกุมารแพทย์อเมริกันก็มีคำเตือนว่าไม่ควรให้ยาเหล่านี้แก่เด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ขวบ
นายแพทย์ Daniel Horton ซึ่งเป็นนักวิจัยที่สถาบัน Robert Rutgers Robert Wood Johnson Medical School ในรัฐ New Jersey ได้ทำรายงานการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าคำเตือนเรื่องยาแก้ไอจะมีผลต่อการสั่งยาของแพทย์หรือไม่ ผลปรากฏออกมาว่า
แพทย์สั่งจ่ายยาแก้ไอและและยาแก้หวัดสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบที่ไม่มีส่วนผสมของ opioid ลดลง 70% ส่วนยาแก้ไอและยาแก้หวัดที่มี opioids เป็นส่วนผสมลดลงถึง 90% ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบอีกด้วย
อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่าแพทยืมีการจ่ายยาที่มีส่วนผสมของ antihistamine แทนเพราะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าการใช้ยาแก้ไอและยาแก้ไข้หวัดอื่นๆ แม้ว่าจะมีหลักฐานเพียงเล็กน้อยว่ายาเหล่านี้สามารถรักษาอาการหวัดในเด็กๆ ได้จริง
แต่ย่างไรก็ตามนายแพทย์ Daniel Horton ได้กล่าวเพิ่มเติมว่าโรคหวัดในเด็กไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยยา เพราะเด็กๆ จะหายเองได้ แต่ถ้าเกิดมีเสมหะหรือน้ำมูกมากเกินไป มีภาวะขาดน้ำ เซื่องซึม หายใจลำบากและมีไข้ติดต่อกันหลายวันก็ควรมาพบแพทย์ ไม่ควรซื้อยาให้ลูกกินเอง
อ้างอิงจาก
https://www.voathai.com/a/us-doctors-give-fewer-cough-cold-medicines/5042944.html