เขตการศึกษาเชอร์รีครีก (Cherry Creek School District)ในรัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐฯ ได้มีการทดลองระยะยาวข้ามปีกับนักเรียนในระดับชั้นมัธมศึกษาตอนต้นและตอนปลายกว่า 15,000 คน เกี่ยวกับเวลาในการเข้าเรียน พบว่าการเลื่อนเวลาเข้าเรียนให้สายขึ้นส่งผลดีต่อสุขภาพและพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็กๆ
การทดลองนี้เริ่มต้นในปลายปี 2017 โดยให้นักเรียนม.ต้นเลื่อนเวลาเข้าเรียนจาก 8.00 น. มาเป็น 8.50 น. ส่วนนักเรียนม.ปลายเลื่อนเวลาเข้าเรียนจาก 7.10 น. มาเป็น 8.20 น. ซึ่งนักเรียนจะต้องตอบแบบสอบถามประเมินตนเอง ทั้งในช่วงก่อนและหลังเข้ารับการทดลองเป็นเวลาหนึ่งปี
แบบสอบถามก็จะเป็นคำถามเกี่ยวกับช่วงเวลาที่หลับและตื่น จำนวนชั่วโมงการนอน ระดับของความรู้สึกตื่นตัวกระปรี้กระเปร่าระหว่างวัน การมีส่วนร่วมกับกิจกรรมในชั้นเรียน และพฤติกรรมการทำงานรวมทั้งการทำการบ้านที่ได้รับมอบหมาย
หลังจากการทดลองสิ้นสุดในปี 2018 พบว่านักเรียนทั้งม.ต้นและม.ปลายนอนหลับได้เต็มอิ่มมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้เด็กๆ ยังรู้สึกพร้อมที่จะทำการบ้านในช่วงค่ำมากขึ้นเพราะไม่ค่อยรู้สึกง่วงหรือเหนื่อยล้า อีกทั้งปัญหาการงีบหลับในชั้นเรียนลดน้อยถอยลงไปด้วย
ดร. ลิซา เมลต์เซอร์ ผู้นำทีมวิจัยซึ่งตีพิมพ์ผลการทดลองข้างต้นในวารสาร Sleep กล่าวว่า นักเรียนในวัยนี้ไม่สามารถจะเข้านอนแต่หัวค่ำ หรือเข้านอนได้เร็วพอที่จะตื่นแต่เช้าไปโรงเรียนโดยไม่รู้สึกมึนงงเหนื่อยล้าได้ เพราะวงจรนาฬืกาของร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้นการเลื่อนเวลาเข้าเรียนให้สายขึ้นกว่าเดิม จะเป็นผลดีต่อคุณภาพชีวิตของวัยรุ่นอย่างมาก เพราะการนอนสำคัญต่อพัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์ และการเรียนรู้ของคนหนุ่มสาว
อ้างอิงจาก