บ้านไหนที่มีเด็กเล็ก เราย่อมรู้กันว่า ทุกส่วนในบ้าน พร้อมจะกลายเป็นสนามเล่นให้เขาได้ทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นห้องนั่งเล่น ห้องนอน หรือแม้แต่ห้องครัว, ห้องน้ำเองก็พร้อมจะเป็นอาณาเขตที่เขาเล่นซน เล่นสนุก แต่ถ้าหากเป็นแบบนั้น พ่อแม่อย่างเราก็เหนื่อยมากเลยล่ะค่ะ ที่จะเก็บ หรือ คอยตามบอกว่า ตรงนี้เล่นไม่ได้นะ แม่ทำงานอยู่ หรือ ตรงนี้อย่ารื้อออกมาสิครับ พ่อพึ่งทำความสะอาดไปเองนะ!
แต่อย่างไร การเล่น ก็คือหนึ่งในพัฒนาการที่ดีที่สุดของลูกค่ะ จะให้งด หรือไม่อนุญาตให้สนุกเลยในช่วงที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน เด็กก็จะมีพัฒนาการที่ไม่เหมาะสมกับช่วงวัย และดีไม่ดี อาจส่งผลให้นอนไม่หลับในตอนกลางคืนเพราะเขาไม่ได้ใช้พลังที่มีอยู่ทั้งหมด
ดังนั้น เราจะมาจัดพื้นที่ภายในบ้าน เพื่อให้เหาะสมกับการเล่นของลูกกันค่ะ! เอาให้เขาได้ปล่อยพลังอย่างสุดๆ ไปเลย
ให้ลูกได้มีอิสระในการใช้พื้นที่ที่จำกัด
เมื่อลูกต้องการที่จะเล่น เราต้องช่วยจำกัดพื้นที่ ที่ลูกจะสามารถใช้สอยได้ ให้ไม่มากหรือน้อยเกินไป โดยอิงจากตัวเราเองว่าไหวแค่ไหน ที่จะให้ลูกได้ใช้พื้นที่ตรงนั้น เช่นในห้องนั่งเล่น ลูกสามารถมีพื้นที่เล่นได้ตั้งแต่โซฟาถึงกำแพงอีกฝั่ง โดยเราจะมีซุ้มเก้าอี้ปูผ้าไว้ให้ เป็นที่ตั้ง หรือเต๊นท์เล็กๆ สำหรับเขา พร้อมบอกกติกาการใช้อย่างชัดเจนว่า ส่วนไหนที่เราแบ่งให้เขาได้เล่น ส่วนไหนที่เขาต้องแบ่งให้เราใช้
แต่กับวิธีนี้แม้ลูกจะเผลอเกินขอบเขตที่กำหนด หรือทำของเล่นออกมารกไปหน่อย ก็อาจจะต้องผ่อนปรน และยอมเหนื่อยซักหน่อยค่ะ เพราะตราบใดที่เขายังพยายามที่จะอยู่ในเขตที่กำหนด เราก็ต้องชมเชยให้มาก ไม่จุกจิกจนเกินไป
กิจกรรมมีตลอดอย่าให้ขาด
เพราะการเล่นคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพัฒนาการของลูก ยิ่งอยู่บ้านยิ่งต้องหากิจกรรมที่ได้ทำ และเรื่องการจัดพื้นที่ในบ้านเอง ก็เป็นส่วนสำคัญมากๆ สำหรับการเล่นที่เสริมต่อพัฒนาการของเขา ฉะนั้นแล้ว พื้นที่ในบ้านนั้นต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสูด เช่น
- ห้องครัว มีพื้นที่สำหรับให้ลูกได้ลองทำขนม, มีส่วนช่วยในมื้ออาหาร
- ห้องน้ำ สร้างสวนน้ำขนาดเล็ก ด้วยอ่าง หรือ ฟองสบู่ต่างๆ เพื่อเพื่อความสนุกในการอาบ
- ห้องนั่งเล่น สร้างนิสัยช่างจัดช่างเก็บด้วยการแข่งจัดของเข้าที่ หรือทำความสะอาดกันว่าตรงไหน ใครทำสะอาดสุด
- ห้องนอน สร้างป้อมปราการหมอน เล่นกับเหล่าตุ๊กตาเพื่อเสริมสร้างทักษะการสื่อสาร
ซึ่งทั้งหมดที่ได้กล่าวไปในด้านบนนั้น คือการทำกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมให้ลูกได้มีจินตนาการ และเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบต่อสิ่งต่างๆ อย่างเหมาะสม โดยเราใช้พื้นที่ภายในบ้านให้เกิดประโยชน์สูงสุด
แบ่งเวลาให้มีชั่วโมงปล่อยพลัง
บางครั้งเราจะสังเกตได้ว่า ทำไมดึกแล้ว ลูกยังไม่นอน ทำไมไม่ง่วงซักที นั่นก็เป็นเพราะว่า เขายังปล่อยพลังออกมาได้ไม่เต็มที่ค่ะ ทำให้พอถึงเวลานอน ถ่านที่ใส่ไว้ก้ยังไม่หมด จนทำให้นอนตาแป๋ว มองเราได้ตลอดทั้งคืนเลย
การสร้างกิจกรรม ปล่อยพลังก็เลยเป็นเรื่องที่จำเป็นมากๆ เช่นกัน โดยเราต้องกำหนดเลยว่าอย่างน้อย ลูกต้องมีเวลาได้เล่น 1-2 ชั่วโมงในหนึ่งวัน เพื่อให้เขาได้ใช้พลังงาน และร่างกายอย่างเต็มที่ ซึ่งกิจกรรมที่มี จะเป็นการเต้นก็ดี การวิ่งไล่จับหรือของเล่นที่ต้องออกแรงก็ช่วยได้ นอกจากจะช่วยลดพลังงาอันเหลือล้นแล้ว ก็จะยิ่งช่วยให้มัดกล้ามต่างๆ ของได้ทำงานอย่างเต็มที่อีกด้วย
สร้างพื้นที่แห่งการสร้างสรรค์
แต่ถ้าบ้านเราไม่มีพื้นที่มากพอที่จะแบ่งให้ลูกได้ปล่อยพลัง ก็ยังมีกิจกรรมดีๆ ให้ได้ทำอยู่ อย่างกิจรรมที่เกี่ยวกับความสร้างสรรค์เพียงแค่เรามีอุปกรณ์ที่ต้องใช้ และโต๊ะซักตัว เราก็สามารถใช้พื้นที่แค่หนึ่งหน้าโต๊ะนั้นในการทำงานสร้างสรรค์ได้ นอกจากจะทำให้ลูกอยู่กับพื้นที่ที่กำหนดแล้ว ยังช่วยฝึกให้มีสมาธิ และมีความสุขอยู่กับงานที่ทำได้อย่างเต็มเปี่ยมซึ่งกิจกรรมแนะนำสำหรับการใช้พื้นที่สร้างสรรค์จะมี
- วาดภาพระบายสี
- งานปั้นดิน, ปั้นแป้ง
- ต่อตัวต่อไม้, พลาสติก
- งานตัด, ฉีกกระดาษเป็นรูป
จัดคอนเสิร์ตดนตรีให้ลูกได้ร้อง
เพราะเด็กๆ ชอบร้อง และเต้น กิจกรรมการใช้เสียงก็ดูจะเป็นกิจกรรมที่สนุกและได้ปล่อยพลังอย่างที่สุดอีกเช่นกัน เราอาจจะต้องทนได้ยินเสียงที่ไม่เพราะหรือน่าฟังกันสักหน่อย แต่มันก้ทำให้ลูกได้เรียนรู้จักเสียงต่างๆ ที่เสริมทักษะของลูก ซึ่งวิธีจัดกิจกรรมก็ไม่ยากเลยเพียงเราทำดังนี้
- หากะละมัง, ขวดพลาสติก, ไม้ตี มาจัดให้เป็นเครื่องดนตรี
- ลองเคาะเสียงให้ลูกฟังว่าแต่ละเสียงเป็นยังไงบ้าง
สำหรับกิจกรรมนี้ เราอาจให้ลูกใช้เวลาเล่นกับมันซัก 30-40 นาที พอสำหรับการเรียนรู้ตรงนี้เพราะแม้จะให้ลูกได้สนุกแล้ว เราก็ต้องให้เขาเรียนรู้ด้วยว่า การเล่นนี้จะต้องมีเวลาที่กำหนดไว้ เมื่อหมดเวลาก็ต้องหยุด และไปหากิจกรรมอื่นๆ เล่นกันไป ไม่งั้นอาจเจอปัญหา ลูกเจอกะละมัง จาน ช้อนที่ไหน ก็อาจจะเคาะเอาได้ค่ะ
สำคัญที่สุด คือการมีกติกากับทุกอย่างที่เล่น
ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังสำหรับการเล่น กติกา ยังคงเป็นเรื่องสำคัญอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอย่างไร การพูดคุยกับลูกให้มีความเข้าใจตรงกันก็ยังคงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันไม่ใช่เพียงการเล่นในบ้านเท่านั้นที่เขาต้องรู้ขอบเขต แต่ยังต้องรู้ด้วยว่า เล่นกับผู้อื่นนั้น จะต้องมีกติกาที่ต้องใช้ร่วมกันอย่างไร เคารพการเล่นของผู้อื่นยังไงบ้าง