โลกนี้มันอยู่ยากขึ้นทุกที คนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเราก็อดเป็นห่วงลูกไม่ได้นะคะ ยิ่งปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ เราต่างจะพบเจอข่าวตามสื่อต่างๆ เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเพศกันบ่อยขึ้น ซึ่งสิงที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องที่ปกติหรือเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ แต่มันคือความผิดปกติทางจิต เช่นเดียวกับ “โรคใคร่เด็ก” ที่ทาง Parent s One จะมาส่งต่อความรู้ให้กับคุณพ่อคุณแม่ฟังในวันนี้ ตามไปดูกันเลยค่ะ
“ใคร่เด็ก” กับ “รักเด็ก” ไม่เหมือนกัน
โรคใคร่เด็ก หรือ Pedophilia คืออาการทางจิตชนิดหนึ่ง ที่ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกทางเพศกับเด็ก และมักจะเป็นเด็กที่อายุน้อยกว่า 13 ปี พฤติกรรมของโรคนี้จะไม่ใช่การแสดงความรักแบบเมตตาเด็ก แต่เป็นความปรารถนาจะมีสัมพันธ์ทางเพศกับเด็กที่อายุน้อยกว่าตน หรือเรียกว่าเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะนั่นเอง
ลักษณะผู้ป่วย
- ส่วนใหญ่พบในผู้ชาย
- ร้อยละ 50-80 % เกิดจากครอบครัวหรือคนใกล้ชิด
- ตีสนิทเด็ก เพื่อหวังผลทางเพศ
- บุคลิกภาพแบบอันธพาล (Sociopath) ก้าวร้าว
- เก็บกดจากการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม เช่น ถูกกดขี่ ถูกทุบตี บังคับจิตใจ
วิธีรับมือและป้องกันความเสี่ยง
แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ยากอยู่พอตัวที่พ่อแม่อย่างเราจะมาเจาะจงว่า คนที่มาใกล้ชิดกับลูกเราจะมีความผิดปกติหรือเป็นโรคใคร่เด็กหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเราเองอาจจะต้องหาวิธีรับมือและป้องกันความเสี่ยงนี้
- เลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด : เข้าใจดีเลยว่าใครๆ ต่างก็อยากจะแสดงความรักและชื่นชมในตัวเด็ก แต่มันจะดีกว่าถ้าคนที่เราจะให้สัมผัสควรจะเป็นพ่อแม่หรือคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมจริงๆ เท่านั้น อาจจะเป็นจากการกอดหรือหอมแก้มมาเป็นการ “High fives” แทน และต้องไม่ทำให้ลูกรู้สึกผิดเมื่อไม่ให้ใครมาสัมผัส เพราะพวกที่ใคร่เด็กมักจะชอบอ้างว่า “หนูคงไม่อยากให้ลุงเศร้าใช่ไหม” จึงจำเป็นที่จะสนับสนุนลูกในเรื่องนี้เช่นกันค่ะ
- ไม่ระแวงแต่ระวัง : คำว่ารู้หน้าไม่รู้ใจนี่ถือเป็นอะไรที่ถูกต้องมากเลยนะคะ และพ่อแม่อย่างเราที่ปกติแล้วก็จะระแวดระวังคนที่ไม่รู้จักหรือคนที่ดูบุคลิกภาพไม่น่าไว้วางใจ และมักจะใจดีและผ่อนคลายกับคนที่รูปร่างบุคลิกดี ซึ่งรู้ไหมคะว่าไม่ว่าใครก็สามารถทำเรื่องแย่ๆ ได้ สอนลูกไม่ไปไหนกับคนแปลกหน้า แต่รู้หรือไม่ว่าคนที่มักจะลวนลามเด็กมักไม่ใช่คนแปลกหน้า เพราะฉะนั้นพ่อแม่อย่างเราจึงต้องไม่ประมาท และก็ไม่ต้องหวาดระแวงจนเกินไปจะดีที่สุดค่ะ
- ดูแลลูกและเอาใจใส่ลูกอย่างใกล้ชิด : ไม่ว่าลูกจะทำอะไรไปไหน พ่อแม่อย่างเราก็ควรที่จะตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกเขาใช้เวลาอยู่กับใครและทำอะไร เพราะคนที่ใคร่เด็กมักจะมองหาเด็กที่เหมือนกับว่าผู้ปกครองไม่สนใจลูกมากนัก และพวกเขามักจะแทรกตัวและร่วมทำกจิรรมกับเด็กๆ เสมอ เพราะฉะนั้นพ่อแม่ต้องคอยสอดส่อง ติดตาม ดูแลพฤติกรรมของคนพวกนี้ไว้และคอยเอาใจใส่ลูกอย่างใกล้ชิดค่ะ พึงระลึกไว้เสมอว่าหน้าที่สำคัญของเราคือการดูแลลูกยังไงล่ะ
- ให้ความรู้กับลูกอย่างเหมาะสมกับวัย : สิ่งแรกที่เราต้องสอนก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเกี่ยวกับร่างกายของพวกเขา สอนว่าอะไรคืออะไร และสิ่งไหนที่ควรหวงแหนและไม่ให้ใครเข้ามาก้าวก่ายได้ เพระเด็กบางคนเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นมา พวกเขาไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา เด็กๆ รู้แค่ว่ามันไม่ถูกต้องและเขาก็กลัว และสิ่งที่ตามมาก็คือ เด็กๆ จะได้รับการขู่ด้วยคำพูดที่ทำให้พวกเขาละอายใจเช่น “ไม่มีใครเชื่อหนูหรอก” หรือ “ถ้าหนูบอก แม่หนูตายแน่” เป็นต้น เพราะฉะนั้นควรสอนลูกตั้งแต่เด็ก ถ้ายังเล็กอาจจะสอนเรื่องความเจ็บปวด เพราะเด็กวัยนี้จะเข้าใจค่อนข้างดี สิ่งสำคัญก็คือต้องย้ำเสมอว่า “ร่างกายของลูก คือพื้นที่ส่วนตัว อย่าให้ใครมาสัมผัส ไม่ว่าเวลาใด ที่ไหนก็ตาม หรือเป็นใครที่คุ้นเคยก็ตาม”
- หากถูกทำร้าย อย่าโทษตัวเด็ก : พ่อแม่เมื่อเกิดเหตุการณ์แล้วอย่างแรกที่ไม่ควรทำเลยคือการว่าเด็กทั้งๆ ที่พวกเขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น มิหน่ำซ้ำยังทำให้ลูกกลัวและเสียใจได้ เพราะฉะนั้นจงควบคุมความรู้สึกขมขื่นที่เกิดจากความโชคร้านนี้เพื่อลูกจะได้ไม่มีปัญหาในอนาคตค่ะ ที่สำคัญไม่ควรที่จะให้เด็กๆ ถูกสอบสวนอย่างหนัก และไม่ควรที่จะได้รับการบอกเล่าเรื่องนี้อย่างโจ้งแจ้งด้วย เพราะจะทำให้เขารู้สึกมีมลทินและมีความผิดได้นั่นเอง
ผู้ป่วยที่เป็นโรคใคร่เด็กนี้จริงๆ แล้วหากได้รับการรักษาก็สามารถหายได้นะคะ หากทำตามคำแนะนำของจิตแพทย์ แต่ถึงยังไงก็ตามก็อยากจะฝากเรื่องนี้ให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้ระมัดระวังเด็กๆ ที่บ้านไว้นะคะ อย่างน้อยก็คอยสังเกตพฤติกรรมและไม่ปล่อยให้ลูกอยู่ตามลำพังกับคนแปลกหน้าจะดีที่สุดค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : phongxodiax.com, today.line.me, Sanook