กระทรวงสาธารณสุขได้รายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ของโรคโควิด-19 (COVID-19) ประจำวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ.2563 ว่า ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 35 คน รวมมีคนที่ติดเชื้อสะสมทั้งหมด 212 คน รักษาหายรวมแล้ว 42 คน กำลังรักษาอยู่ 169 คน และเสียชีวิตแล้ว 1 ราย
ซึ่งสาเหตุที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะผู้ป่วยรายใหม่ที่พบมีประวัติเสี่ยง ไม่ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ยังคงเดินทางไปพื้นที่เสี่ยง ไปในสถานที่ที่มีคนแออัด สังสรรค์ ไม่ลดกิจกรรมทางสังคม ไม่เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล ไม่กักกันตัวเองอย่างเคร่งครัด เมื่อป่วยทำให้นำโรคไปติดคนใกล้ชิดในครอบครัวเพื่อนสนิท ที่สำคัญโรคนี้มีความรุนแรงในกลุ่ม ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้มีโรคประจำตัว หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป การระบาดของโรคในประเทศจะเป็นวงกว้าง จนไม่สามารถควบคุมได้
กระทรวงสาธารณสุขจึงขอให้ประชาชนทุกคนหมั่นสังเกตอาการตนเองเป็นเวลา 14 วัน หากมีไข้ ร่วมกับอาการไอ เจ็บคอ น้ำมูก หายใจลำบาก อย่างใดอย่างหนึ่ง ให้ไปรับการตรวจรักษาที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้านทุกสังกัดได้ฟรี
และกระทรวงสาธารณสุขได้มีการแจ้งเงื่อนไขเพิ่มเติมในการรักษาโรคโควิด-19 ดังนี้
- กรณีที่ประชาชนใช้สิทธิ์ซึ่งเมื่อเจ็บป่วยด้วยโรคโควิด-19 ถือเป็นโรคติดต่ออันตราย ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ ถือเป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน ตาม พ.ร.บ. ขอให้เลือกสถานพยาบาลตามสิทธิ์ก่อน เช่น สิทธิประกันสังคม สิทธิ์หลักประกันสุขภาพ สิทธิ์สวัสดิการราชการ
แต่หากมีความจำเป็นหรือเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินก็สามารถใช้สิทธิ์ที่ใดก็ได้รวมทั้งสถานพยาบาลเอกชน
- หลักการ เงื่อนไขเรื่องค่าใช้จ่าย สำหรับสถานพยาบาลเอกชน
– ผู้ป่วยต่างชาติ ต้องเป็นการใช้สิทธิ์ประกันสุขภาพของชาวต่างชาติเอง ไม่สามารถใช้สิทธิ์กรณีฉุกเฉินนี้ได้
– กรณีคนไทย ถ้าหากประชาชนกรณีที่ไปใช้สิทธิ์ ไปใช้สถานพยาบาลเอกชน กรณีมีประกันสุขภาพเอกชนก็ให้ใช้สิทธิ์ประกันสุขภาพเอกชนส่วนตัวก่อน ส่วนที่เหลือจะเป็นการสนับสนุนจากภาครัฐ
- สำหรับประชาชนที่ไม่มีประกันสุขภาพให้ใช้กลไกแนวทางในการจ่ายคล้ายๆ กับผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ โดยจะต้องมีการหารือกันทั้ง 3 กองทุน ว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะจัดสรรกองทุนหรือว่าจะเป็นงบฯ กลาง
สรุปแล้ว พวกเราก็ยังคงต้องระวังตัว และปฏิบัติตัวตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้ให้คำแนะนำออกมาอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะกับเจ้าตัวเล็กที่ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่ค่อยแข็งแรงมากนัก และที่สำคัญ คือห้ามพาลูกๆ หลานๆ เข้าไปในห้างสรรพสินค้า หรือสถานที่ที่มีคนแออัดเช่นเดียวกันค่ะ
อ้างอิงจาก :