Parents One

NEWS: ศาลากลางภูเก็ต แถลงความคืบหน้าผู้ป่วยฝีดาษวานร รายแรกของประเทศไทย

สืบเนื่องจากข่าวในคืนวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 ประเทศไทยพบผู้ป่วยฝีดาษลิงรายแรก วันที่ 22 กรกฎาคม 2565 ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต จึงได้ออกแถลงความคืบหน้าของผู้ป่วยฝีดาษวานรรายแรกในประเทศไทยค่ะ

โดยผู้ป่วยฝีดาษลิงเป็นชายชาวไนจีเรียอายุ 27 ประกอบอาชีพเป็นนักธุรกิจ และได้พักอาศัยในคอนโดมิเนียมบริเวณป่าตองตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาค 2564 จนถึงปัจจุบันโดยพักอาศัยเกินวีซ่าหรือ overstay ในประเทศไทยมาเป็นเวลาหนึ่งแล้ว และไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจนัก

จากผลการตรวจพบว่าเริ่มมีอาการตั้งแต่ 9 กรกฎาคม มีไข้ เจ็บคอ และมีตุ่มหนองบริเวณอวัยวะเพศก่อนจะเริ่มลามไปทั่วร่างกาย จึงค่อยมาตรวจที่โรงพยาบาลเอกชน รับการรักษาแต่ยังพักอาศัยอยู่ที่คอนโดมิเนียมในวันที่ 16 กรกฎาคม โดยทางโรงพยาบาลวชิระภูเก็ตได้เตรียมสถานที่ให้รักษา แต่คนไข้ได้หายตัวไปในวันที่ 19 กรกฎาคม

ขณะนี้ตำรวจและเจ้าหน้าที่กำลังติดตามคนไข้อยู่ โดยสันนิษฐานจากภาพบันทึกในกล้องวงจรปิดว่ายังอยู่ในภูเก็ตหรืออาจออกนอกพื้นที่ไปแล้ว แต่ยังไม่ออกจากประเทศโดยแน่นอน ด้วยเจ้าหน้าที่เตรียมการเฝ้าระวังเรียบร้อยแล้ว

ฝีดาษวานรเป็นเชื้อไวรัส มีอาการคล้ายอีสุกอีไส โดยอาการของฝีดาษวานรมีดังนี้ค่ะ:

ฝีดาษวานรนั้นมี 2 สายพันธุ์ มีสายพันธุ์ West African clade ที่ไม่รุนแรงและสายพันธุ์ Central African clade ที่รุนแรง โดยผู้ป่วยรายนี้เป็นโรคฝีดาษลิงสายพันธุ์ไม่รุนแรง West African clade ค่ะ

ซึ่งการติดต่อของโรคฝีดาษวานรนั้นนับว่าติดต่อได้ยากกว่าโควิด-19 เพราะสามารถติดเชื้อได้จากการสัมผัสใกล้ชิด สัมผัสโดนตุ่มหนองและสารคัดหลังจากตุ่มหนอง การไอจาม และผู้ป่วยจะสามารถแพร่เชื้อได้ในช่วงที่มีตุ่มหนอง

ควรระมัดระวังในการอยู่บ้านร่วมกัน ใส่เสื้อผ้าร่วมกัน และใช้โถสุขภัณฑ์ร่วมกัน เพราะมีโอกาสติดได้หากมีแผลแล้วสัมผัสแผลหรือของเหลวจากตุ่มหนองผ่านการใช้โถสุขภัณฑ์ แต่สำหรับผู้คนที่เป็นห่วงว่าเชื้อจะติดตามเสื้อผ้า การซักผ้าด้วยน้ำยาซักผ้าหรือผงซักฟอกปกติสามารถฆ่าเชื้อฝีดาษวานรตามเสื้อผ้าได้ค่ะ

ในกรณีที่คิดว่าตัวเองเป็นกลุ่มเสี่ยง สามารถปฏิบัติได้ตามนี้:

กลุ่มเสี่ยงสูง

กลุ่มเสี่ยงต่ำ

โรคฝีดาษวานรนั้นเป็นโรคที่สามารถหายเองได้ แต่ในประเทศไทยนั้นยังไม่มียารักษาโรคโดยตรง ต้องใช้การรักษาแบบประคับประคองตามอาการไปก่อน

สำหรับผู้ที่ปลูกฝีป้องกันฝีดาษ จะป้องกันโรคฝีดาษวานรได้ถึง 85% โดยสามารถสังเกตรอยแผลเป็นที่ต้นแขนของตัวเองได้ แผลเป็นจากการปลูกฝีดาษจะเป็นแผลราบ ในขณะที่แผลเป็นจากการปลูกฝีป้องกันวัณโรคจะเป็นแผลนูน

อ้างอิงจาก Nbt Phuket Thailand