Parents One

“คุณแม่เลอค่า” กับความสุขในการเลี้ยงลูก และพลังที่ไม่มีวันหมด

หลายคนคงเคยผ่านตากับเพจ “คุณแม่เลอค่า” ของคุณแม่ปาล์ม เลอค่า ทองสิมา ณ นครพนม กันมาบ้าง ซึ่งถ้าเข้าไปดูเราจะเห็นความน่ารักของ “น้องธัมดี” ลูกชายวัย 2 ขวบ และความเป็นครอบครัวอบอุ่นน่ารักที่เราสัมผัสได้ และเป็นคุณแม่อีกหนึ่งคนที่มีความสุขกับการได้แชร์เรื่องราวเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกเชิงบวก อาหารการกิน สุขภาพ และพลังแบบเต็มเปี่ยมเพื่อลูก

จุดเริ่มต้นของการตั้งเพจ

คุณปาล์ม: ญาติทุกคนเห่อหลานชายมากๆ เนื่องจากเป็นหลานชายคนแรกของทั้งเราและสามี แล้วก็อยากเห็นพัฒนาการน้องเลยตั้งเพจขึ้นมาเพื่ออัปเดตกันในช่วงเเรก และเหมือนได้บันทึกความทรงจำไปด้วย พอทำแล้วก็มีคนมาเเชร์ต่อๆ กันเลยรู้สึกสนุกดี เหมือนได้แชร์ประสบการณ์เลี้ยงลูกเชิงบวก ไลฟ์สไตล์ แนวคิดวิธีการต่างๆ ของเรา ส่วนชื่อเพจ “คุณแม่เลอค่า” ชอบมีหลายคนถามว่าทำไมถึงตั้งชื่อนี้ (หัวเราะ) ความจริงชื่อเพจมาจากชื่อจริงของเรา เพราะมีพี่น้อง 3 คน ชื่อ ล้ำค่า เลอค่า และเลิศค่า จนมาถึงชื่อลูกที่ตั้งว่า “ธัมดี” กับ “คิดดี” เพราะอยากตั้งชื่อลูกให้ดูคล้องจองจำง่ายๆ และมีความเป็นไทยแบบบ้านเรา

ชีวิตใหม่หลังได้เป็นคุณแม่

คุณปาล์ม: ชีวิตเปลี่ยนไปเยอะมาก ก่อนหน้านี้เราคือ Working Women คนหนึ่งที่ทำงานตลอดเวลาและชอบพบปะผู้คน เช่น ก่อนมีลูกเรากับคุณพ่อก็จะไปดูหนัง ไปปาร์ตี้ ทำงาน แต่พอเรามีลูกก็ออกมาเป็นคุณแม่ฟูลไทม์ที่เลี้ยงลูกเต็มเวลาที่ต้องดูแลเด็กๆ ตลอด 24 ชม. ซึ่งช่วงแรกหลายๆ คนน่าจะเป็นกัน บางทีเราก็แอบเบื่อๆ นอยด์ๆ เหมือนอารมณ์ว่าชีวิตเรามันเปลี่ยนจากเดิมเยอะ

อีกอย่างที่เปลี่ยนไปคือ “การนอน” เพราะตอนยังไม่มีลูก เราได้นอนหลับยาว 8-10 ชั่วโมง จะนอนตอนไหนก็ได้ แต่มีลูกเเล้วต้องตื่นทุก 2-3 ชั่วโมง แต่เป็นเรื่องที่รู้สึกว่าคนเป็นแม่ทำได้อย่างไร (หัวเราะ) เพราะสุดท้ายเเล้ว คนเป็นแม่ทุกคนทำได้หมด แม้จะต้องนอนน้อยแค่ไหน แบบเวลาเห็นหน้าลูกยิ้ม หัวเราะ แล้วมีพลัง เหมือนความเหนื่อยหายไปหมด

ให้เวลาลูกแบบเต็มที่

คุณปาล์ม: เราตัดสินใจไม่จ้างพี่เลี้ยงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะเราเป็นครอบครัวใหญ่ และคนเป็นพ่อแม่จะรู้ว่าเราควรเลี้ยงลูกวิธีไหนให้ไม่เอาแต่ใจตัวเองจนเกินไป วีนเหวี่ยงตามใจตัวเองเกินไป คิดว่าอยู่กับพี่เลี้ยงบางทีอาจตามใจมากเกินไป และไม่ได้มีจิตวิทยาและความเอาใจใส่ในการเลี้ยงดูเท่าๆ กับที่เราเลี้ยงเอง ซึ่งพี่เลี้ยงเก่งๆ ที่เข้าใจตรงนี้ค่อนข้างหายากหน่อย แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่บางคนเจอก็โชคดี

มองว่าลูกต้องการเวลาจากเราเยอะ อย่างตอนนี้ที่ท้องคนที่สองอยู่ (8 เดือน) แต่เราก็ยังคงดูแลลูกคนเเรกเอง อาบน้ำให้ลูก เอาลูกเข้านอน อ่านนิทานและร้องเพลงให้ฟัง ทุกๆ วัน โดยเราก็ไม่ได้เครียดอะไร แค่รู้สึกว่ามีบ้างบางอารมณ์ที่แบบฉันเหนื่อยจังเลย ฉันอยากนอนนะ แต่โชคดีที่คุณพ่อช่วยเราได้เยอะ เขาทำแทนเราได้ทุกอย่าง

มีคนเคยบอกว่าวัย 2 ขวบเป็น terrible twos ก็จะมีงอแง เรียกร้อง แต่พ่อเเม่จะรับมือกับลูกตัวเองได้ดีที่สุด เราก็จะมีวิธีการสอน การดูแล ปรับกันไปแบบรายวัน ดูตามพัฒนาการ เเละเราต้องเข้าใจเขามากๆ เหมือนเราเข้าใจว่าเป็นแบบนี้เพราะอะไร บางอย่างยอมไม่ได้ก็ต้องทำโทษ เหมือนน้องที่มีการเข้ามุม ซึ่งตอนแรกน้องก็ร้องไห้สำนึกผิด แต่เด็กๆ ปรับตัวได้ก็เริ่มจะเล่นกับมุม (หัวเราะ) แต่เราก็ไม่เคยตีลูก เพราะรู้สึกว่าเป็นการใช้ความรุนแรงและไม่ดีทั้งสองฝ่าย เน้นใช้โทนเสียงมากกกว่า เพราะพอเราเปลี่ยนเป็นโทนเสียงที่ดุขึ้น เขาก็เข้าใจและสงบลงเอง

พ่อแม่คือของเล่นที่ดีที่สุดของลูก

คุณปาล์ม: ที่บ้านไม่ให้ดูพวกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เลยจนอายุได้ 2 ขวบ พอหลัง 2 ขวบก็ค่อยๆ ให้เขาเริ่มทีละหน่อยๆ ซึ่งของเล่นส่วนใหญ่คือเราเองเพราะ “พ่อแม่คือของเล่นที่ดีที่สุด” การเล่นเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นพัฒนาการทุกอย่าง ส่วนของเล่นก็ซื้อพวกของเล่นเสริมพัฒนาการบ้างแต่ไม่เยอะ อย่างคุณพ่อเขาก็จะมีวิธีในการเล่นให้ลูกหัวเราะได้ตลอด แนะนำว่าพ่อแม่อาจจะต้องเล่นใหญ่นิดนึง อะไรก็ได้ที่เป็นธรรมชาติของแต่ละครอบครัวที่ต้องรู้เอง อย่างบางคนให้เล่นถุงพลาสติก หมอน อะไรแบบนี้เด็กก็ขำ ขึ้นอยู่กับเด็ก และคุณพ่อเองก็มีส่วนร่วมในการสนับสนุนหลายอย่าง ถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ ช่วยด้วยความเต็มใจตลอด เหมือนเขาตั้งใจอยากเมมโมรี่ลูกด้วยกัน เลยจะเห็นได้บ่อยครั้งในเพจ

อาหารจากฝีมือแม่

คุณปาล์ม: ตอนท้องเราไม่ได้ชอบทำอาหาร ส่วนใหญ่ก็ทานข้าวนอกบ้าน แต่พอเราท้องก็กลับมาชอบทำอาหารเฉยเลย แล้วก็ตั้งใจที่จะทำให้ลูกเอง เช่น ทำข้าวบด ผักปั่น ผักบด ต้ม ตุ๋น หรือนึ่ง แล้วก็โชคดีด้วยที่น้องธัมดีทานเก่ง ไม่ได้แพ้อาหารเลย เขาชอบทานผัก ผลไม้กรอบๆ มาก อย่างแครอท ถั่วลันเตาหวาน ที่ผ่านมามีคำถามจากคุณแม่เยอะมากว่าทำไมน้องทานเก่ง เราก็จะบอกตลอดว่าฝึกตั้งแต่แรกคือ 6 เดือนแรกที่ต้องหัดทานบนเก้าอี้ ทำให้เขารู้หน้าที่ตัวเองว่าต้องทานข้าวนะ ไม่เเนะนำให้เดินป้อน วิ่งป้อน จนตอนขวบต้นๆ ธัมดีก็ตักข้าวทานด้วยตัวเองได้แล้ว

ลูกๆ เป็นแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจไหม

คุณปาล์ม: อย่างตอนแรกทางบ้านทำธุรกิจอยู่แล้วคือ โรงพยาบาลนครธน พาร์ควิลเลจ หมู่บ้านจัดสรร และก็กำลังจะเปิดโรงเรียนนานาชาติด้วยชื่อ โรงเรียนนานาชาติเบซิส (BASIS International School Bangkok) เป็นหลักสูตรจากอเมริกา ตั้งอยู่บนถนนพระราม 2 (กำหนดเปิดเดือนสิงหาคม 2562) แล้วน้องธัมดีก็น่าจะเรียนที่นี่ค่ะ เราศึกษามาเเล้วว่าเด็กๆ เรียนที่นี่จะมีความสุข ซึ่งทางครอบครัวก็เลยแพลนที่จะทำตัวนี้เอาไว้ แต่ก่อนเข้าที่ BASIS ปาล์มจะให้เข้าเรียนโรงเรียนวรรณสว่างจิตก่อน เป็นโรงเรียนทางเลือก ซึ่งเป็นของคุณย่าปาล์มเอง

ส่วนตัวเราพอมีลูกก็อยากทำอะไรที่เป็นธุรกิจของตัวเอง เหมือนลูกเป็นแรงบันดาลใจให้กับเรา เป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่เป็นโจ๊กข้าวกล้องออร์แกนิคสำหรับเด็กแบบไม่มีผงชูรส ชื่อ “Happy Bear” ตอนนี้ขยายตลาดไปหลายประเทศแล้ว อย่างเวียดนาม มาเลเซีย ลาว มันเริ่มจากการที่เราทำอาหารเสริมให้ลูกเป็น “ข้าวบด” แล้วรู้สึกว่าพ่อแม่หลายคนอยากทำอาหารให้ลูกทาน แต่อาจจะไม่มีเวลา โดยตัวนี้ก็แค่ใส่น้ำร้อน คน 1 นาที ก็เสร็จ แล้วจะใส่อะไรก็ได้ที่เราเตรียมไว้ให้ลูกก็ได้ เช่น ไข่ ปลาหยอง ผัก

อยากให้แนะนำคุณแม่คนอื่นๆ เกี่ยวกับการเลี้ยงลูก

คุณปาล์ม: อยากให้แนะนำคุณแม่คนอื่นๆ เกี่ยวกับการเลี้ยงลูก คุณปาล์ม: อยากให้สนุกกับทั้งการท้องและการเลี้ยงลูก ให้มองว่าลูกคือสิ่งที่มาเต็มเติมความสุขให้ครอบครัว เพราะเหมือนปู่ย่าตายายก็รอคอยที่จะเห็นหน้าหลาน อย่าไปกังวลเยอะว่าจะอันตราย ไม่ปลอดภัย แต่ให้พยายามเดินทางสายกลาง เพราะบางคนเครียดมากไม่กล้าทำอะไรเลย ของเผ็ด ของดิบ ห้ามหมด อย่างตัวเราคุณหมอเคยบอกว่าถ้าเราทานอะไรแล้วอร่อยและมีประโยชน์ก็ให้ทานเลย (เพราะเราจะรู้ตัวอยู่แล้วว่าของไม่มีประโยชน์ก็จะไม่ทานทุกวัน) แค่พอหายอยาก ให้รู้สึกว่าชีวิตมันก็ต้องมีความสุข

หลังได้คุยกับคุณปาล์มเราพบว่า ความสุขในทุกๆ วันของเธอ คือการได้เห็นพัฒนาการลูกที่เติบโตขึ้นในทุกฝีเก้านั่นเอง