เด็กในแต่ละช่วงวัยมีความต้องการในการนอนต่างกัน ให้คุณแม่ลองเช็คว่าลูกแค่หลับลึกหรือมีภาวะนอนมากเกินปกติหรือไม่ ซึ่งโรคนอนเกิน (Hypersomnia) หรือ เรียกว่า การหลับเกินพอดี เป็นโรคที่เกิดในคนขี้เซาเป็นหลัก ง่วงมากเกินไป หรือ ง่วงมากผิดปกติ ยิ่งนอนเท่าไรก็รู้สึกไม่พอเท่านั้น เป็นสิ่งที่ผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ต้องรีบพบแพทย์ คนที่มีภาวะนี้จะตื่นยากมากจากการนอน เมื่อตื่นแล้วก็รู้สึกว่าต้องการนอนต่อไปอีกซึ่งส่งผลเสียในหลายๆ ด้าน ไปดูกันดีกว่า ว่าแค่ไหนถึงเรียกว่านอนเกินพอดี
ลูกนอนนานแค่ไหนถึงพอดี
- ทารกอายุ 6 เดือนแรก ในช่วงแรกเกิดนี้ เด็กจะนอนค่อนข้างมาก โดยเฉลี่ย 16-20 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งจะแบ่งเป็นช่วงๆ บางช่วงนาน 4-5 ช.ม.ซึ่งจะพอดีกับมื้อนม แต่ในบางครั้ง ก็อาจจะยาวกว่า 5 ช.ม. หรือสั้นเพียง 2-3 ช.ม. เท่านั้น ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่า เป็นเกณฑ์ปกติ
- ทารกอายุ 6-12 เดือน เด็กส่วนใหญ่จะนอนกลางวันประมาณ 3 ช.ม. และมักจะนอนกลางคืนได้นาน ถึง 11 ช.ม.
- เด็กอายุ 1-3 ปี ช่วงนี้เด็กจะต้องการเวลานอนประมาณ 10-13 ช.ม.
- เด็กวัยเตรียมอนุบาล อายุ 3-5 ปี เด็กวัยนี้จะนอนประมาณ 10-12 ช.ม.ในเวลากลางคืน และส่วนใหญ่จะไม่ต้องการนอนในตอนกลางวัน
- เด็กวัยเรียน อายุ 6 ปีขึ้นไป เด็กยังต้องการการนอนประมาณ 10-12 ช.ม.
พิษภัยจากการนอนเกิน
1. สมองเฉื่อยชา สมองล้า กลายเป็นเด็กไร้ชีวิตชีวา ไม่สดชื่น
2. ลูกเชื่องช้า รู้สึกไม่สบาย เพราะติดนอนไม่อยากลุกไปไหน ทำให้ความคล่องตัวเริ่มหายไป เป็นผลต่อเนื่องให้กระดูกพรุน ข้อเสื่อม
3. น้ำหนักเกิน มากกว่าเดิม เพราะวันๆ ลูกเอาแต่กินกับนอน ไม่ยอมไปไหน
4. ทำให้เป็นโรคซึมเศร้า การนอนมากๆ ทำให้ฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน โดยเฉพาะ “เคมีอารมณ์ สารความสุข” จำพวก “เซโรโทนิน(Serotonin)” และ “เอนดอร์ฟิน(Endorphin)” ลดต่ำลงอาจก่อให้เกิดอาการหดหู่ เศร้าใจ
5. นอนในเวลาไม่เหมาะสม ระหว่างวันก็ต้องการงีบหลับหลายๆ ครั้ง และการงีบก็อาจเกิดขึ้นในเวลาที่ไม่เหมาะสม เช่น ระหว่างที่ลูกเรียน เป็นต้น
วิธีจัดการโรคนอนเกิน
1. ไปพบแพทย์ การนอนเกินเป็นสิ่งปกติ ถ้าคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกมีอาการนอนมากกว่าปกติกว่าที่เด็กในวัยนี้ควรจะนอน หรือหลับลึกมากเกินไปควรพาไปพบแพทย์
2. กำหนดตารางเข้านอน และตื่นนอนเวลาเดียวกันทุกๆ วัน ติดต่อกัน 28 วัน ร่างกายจะสร้างระบบนาฬิกาชีวิตของลูกขึ้นมาใหม่ จะตื่นได้เองอย่างสดชื่นโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก
3. จัดห้องนอนให้โปร่ง อากาศระบายได้ดี ร่างกายที่ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอจะทำให้สมองเซื่องซึม และง่วงนอนตลอดเวลา
4. ออกกำลังกาย ให้ลูกออกกำลังกายหรืออกไปทำกิจกรรมที่ขยับร่างกาย สร้างออกซิเจนในเลือดให้มากขึ้น และยังทำให้ร่างกายของลูกแอ็คทีฟด้วย
5. งดอาหารจังค์ฟู้ด น้ำอัดลม แป้งขัดขาว เบเกอรี่ ซึ่งทำให้น้ำตาลในเลือดไม่ปกติ ร่างกายคุมไม่ได้ ทำให้ง่วง เนือย ตอนที่ระดับน้ำตาลตก
การนอนของลูกมีความสำคัญ ควรเริ่มฝึกฝนให้ลูกนอนเป็นเวลาและพอเหมาะตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อให้ลูกได้มีการนอนพักผ่อนที่เพียงพอ และมีสุขภาพที่ดีต่อไปในอนาคตค่ะ
ที่มา :