มาแล้วค่ะกับ Save Family from COVID-19 the Series Episode ที่ 3 ในวันนี้เราได้มีโอกาสคุยกับคุณแม่อายจากเพจ Rocy Journey คุณแม่คนสวยของน้องร็อคกี้และน้องพินดา ซึ่งในสถานการณ์ COVID-19 ที่ผ่านมา คุณแม่บอกกับเราว่าเหนื่อยไม่ใช่น้อยเลย และที่สำคัญคือคุณแม่ไม่เจอปัญหาเรียนออนไลน์ เพราะไม่ได้ให้น้องเรียนค่ะ ผ่ามมม! เนื่องจากคุณแม่อายเห็นว่าการเล่นนั้นก็คือการเรียนรู้เช่นเดียวกันเลยให้น้องร็อคกี้ดรอปเรียนช่วงนี้ เดี๋ยวเราไปฟังบทสัมภาษณ์สนุกๆ จากคุณแม่อายกันเลยดีกว่าค่า
รู้สึกยังไงต่อสถานการณ์ COVID-19 ที่เกิดขึ้น ?
คุณแม่อาย : แรกๆ ก็ตกใจเนาะ ว่าทำไมเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น แล้วมันใกล้ตัวเรามากๆ จริงๆ เราดูข่าวจากที่อื่นมาก่อน ก็เลยรู้สึกว่าตกใจที่มันเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว แต่ว่าก็ไม่ได้ตื่นตระหนกมากมายค่ะ
มีวิธีปรับตัวหรือปรับความคิดยังไงบ้าง ?
คุณแม่อาย : ก็คือปรับตัว แต่ว่าก็ยังดีที่เรามีข่าวสารให้ได้เรียนรู้ก่อนค่อนข้างที่จะนาน เขาก็จะมีบอกออกมาเรื่อยๆ ว่าต้องใส่หน้ากากอนามัย ต้องป้องกันตัวเองยังไง มันก็เลยทำให้เราไม่รู้สึกว่าต้องปรับเยอะ
รู้สึกยังไงเมื่อต้องเลี้ยงลูกและ Work from Home ไปพร้อมๆ กัน ?
คุณแม่อาย : พูดตรงๆ แบบไม่ต้องสวยหรูเลย คือเหนื่อยมากกกก คือเหนื่อยมากจริงๆ มันจะทำให้เราคิดและพูดตลกๆ ว่า เมื่อไหร่โรงเรียนจะเปิด ช่วงครึ่งวันจะได้หายไปแล้วเราจะได้ทำอะไรบ้าง เพราะเหมือนกับว่าตอนนี้ที่เขาหยุด แน่นอนว่า การทำงานกับการเลี้ยงลูกมันไปด้วยกันไม่ได้จริงๆ คือถ้าลูกอยู่มันก็ไม่สามารถทำงานได้ เพราะฉะนั้นจึงรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายมากๆ เลย
กลายเป็นว่าช่วงที่ลูกอยู่ก็ต้องสลับกับการทำงาน คือ เราก็ต้องไปอยู่กับลูกทั้งพ่อทั้งแม่ด้วย ทำให้เขารู้สึกว่าแม่ยังอยู่นะ แม่ไม่ได้หายไป กลายเป็นว่าเราต้องไปทำงานกลางคืน มันยากตรงที่ว่าเราจะต้องจัดการยังไงให้งานก็ยังไปต่อ แล้วลูกก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าเราทิ้งเขาไปเขาก็ไม่มีใคร ทุกวันของอายก็เลยต้องหากิจกรรมทำตลอดเช่น วันนี้แพนเค้ก พรุ่งนี้ขนมครก มะรืนวิทยาศาสตร์
บอกลูกยังไงให้เขาเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ?
คุณแม่อาย : มันก็จะเป็นเรื่องของการอธิบายให้เขาเข้าใจ อย่างร็อคกี้ลูกชายคนโต เขาค่อนข้างที่จะพูดรู้เรื่องแล้ว เพราะฉะนั้นเนี่ย เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เขายังไม่ได้ปิดโรงเรียน ซึ่งพอเขากลับมาที่บ้าน ต่อให้สอนยังไงเขาก็จะดูตามที่เราทำ เพราะฉะนั้นก็เลยจะเป็นการทำให้เขาดู พอเราเข้าห้องน้ำล้างมือ เราก็เอาเขามาล้างด้วย
ตอนนี้ก็กลายเป็นว่าเขามีความรู้แบบเต็มเปี่ยมเลยเกี่ยวกับเรื่องของการล้างมือ การใส่แมสก์ออกไปข้างนอก เพราะว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นเขาก็เลยรู้เลยว่าเราจะไม่ออกไปข้างนอกเลยนะ เขากลัว!! เขาคิดเยอะกว่าเราแม้กระทั่งเราบอกเขาว่า วันนี้มาหอมอายหน่อยซิ เขาก็จะบอก ไม่หอมอะ เดี๋ยวติดโควิด แล้วพอแกล้งบังคับให้เขาหอม เขาก็จะทำท่าเช็ดๆ จมูก
ได้อยู่กับลูกยาวๆ แบบนี้ รู้สึกแตกต่างจากตอนปิดเทอมไหม ?
คุณแม่อาย : ตอนช่วงที่เขาปิดเทอม อายก็รู้สึกว่ามันเร็วนะ แต่พอลงสนามจริง ได้ลองมาอยู่แบบนี้ คือร็อคกี้ได้หยุดตั้งแต่กุมภาที่ไม่ได้ไปโรงเรียนเลย มันก็เลยค่อนข้างที่จะหนักอึ้ง หนักอึ้งในที่นี้คือเพราะอายมีคนเล็กด้วย เพราะฉะนั้นเลยไม่มีช่วงเวลาที่เราจะพักได้ด้วย มันก็เลยจะเป็นการแบ่งเซคชั่นในการดูแลน้องอย่างชัดเจนเกิดขึ้นกับที่บ้าน
จัดการศึกษายังไงในช่วง COVID-19 ?
คุณแม่อาย : คือเรามีการดรอปเรียนของร็อคกี้ นั่นหมายความว่าตอนนี้ร็อคกี้ไม่ได้เรียนออนไลน์แล้ว และอายเห็นว่าการเรียนออนไลน์มันไม่ได้ผลสำหรับเด็กเล็ก เพราะลูกอายเพิ่ง 4 ขวบ เขาก็ไม่น่าจะได้รับสารที่เต็มที่ อย่างนั้นเราสอนเองดีกว่าเพราะมันก็ยังเป็นเรื่องที่เรารู้อยู่แล้ว หนึ่ง สอง สาม เอ บี ซี อะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอายก็เลยสอนเอง แต่ว่าสอนเองในที่นี้ อายก็จะจัดตารางเอง แล้วก็จะถามคุณครู ด้วยว่าเขาเรียนอะไรกัน
แต่ว่าอายก็ไม่ได้เป็นคนที่ซีเรียสกับการให้ลูกมานั่งเขียน อายก็ยังเชื่อกับการให้เขาเล่นแล้วเขาก็จะรู้ของเขาไปเอง
ลูกมีบ่นคิดถึงเพื่อนหรือโรงเรียนไหม ?
คุณแม่อาย : เป็นบางขณะเท่านั้น นอกนั้นบอกว่า “หม่าม้าร็อคกี้ไม่ไปโรงเรียนแล้วนะะ ร็อคกี้จะอยู่บ้าน” มีจุดยืนค่ะ จะไปพูดไปบรีฟ ไม่ได้เลย คิดถึงเพื่อนไหม คิดถึง แต่บอกร็อคกี้ไม่ไปโรงเรียนแล้วนะ
ให้ลูกทำกิจกรรมอะไรบ้างในช่วง COVID-19 ?
คุณแม่อาย : ง่ายที่สุดคือไม่ต้องคิดว่าจะทำกิจกรรมอะไรมากมายเลย ก็คือให้ทำงานบ้าน หมายถึงว่า ร็อคกี้ชอบล้างจาน ปีนซิงค์ล้างจาน เราก็จะให้เขาทำ อย่างปอกแอปเปิ้ลอะไรอย่างงี้ค่ะ หาเรื่องที่เหมือนช่วยยุ่งแต่จริงๆ คือเขาทำได้ ก็จะฝึก EF ได้ดีมากๆ
คิดว่าชีวิตประจำวันหลังจากนี้จะเปลี่ยนไปยังไง ?
คุณแม่อาย : เปลี่ยนไปอยู่แล้วในเรื่องของสุขอนามัย การรักษาความสะอาด ถึงจะหมดโควิดแต่การล้างมือจะติดตัวทุกคนไปไม่ว่าจะเป็นลูกหรือเป็นเรา การใส่หน้ากากอนามัยจะเป็นเรื่องธรรมดา และอาจจะต้องเป็นเหมือนไอเท็มหนึ่งที่ทุกคนจะต้องติดตัวออกจากบ้าน แต่อายคิดว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่ต้องพารานอยด์นะ มันเป็นเรื่องที่เป็นข้อดีด้วยซ้ำไป อย่าลืมว่าหน้ากากมันไม่ได้ป้องกันแค่โควิด มันป้องกันไข้หวัดใหญ่ หรือว่าอะไรที่จะติดต่อผ่านการสัมผัสเข้าทางปาก ทางจมูก
แล้วถ้าเด็กๆ เขาชินกับการใส่หน้ากากอนามัย พอไปโรงเรียนแล้วเขาก็ยังใส่ได้อยู่ แล้วพอเพื่อนป่วย อายก็เข้าใจตามที่อายศึกษามาว่า มันน่าจะช่วยไม่ให้ลูกติดโรคพวกนี้ได้ด้วย สิ่งที่เปลี่ยนไปเลยก็คือเรื่องของความสะอาด คนจะตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพแล้วก็การใช้ชีวิต มีความระมัดระวังมากขึ้นกว่าเดิมค่ะ