“บอกเลยว่าคนที่เป็นแม่ช่วงนี้ คือเชิญรับยาช่อง 2” นี่อาจจะเป็นความในใจของคุณพ่อคุณแม่ในช่วงที่ผ่านมา จากการที่ต้องกักตัวอยู่ที่บ้านเพราะสถานการณ์ COVID-19 โดยต้อง Work from Home และเลี้ยงลูกไปพร้อมๆ กัน ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะมีการคลายล็อกดาวน์ หลายๆ คนอาจจะกลับมาทำงานตามปกติ แต่เชื่อว่าทุกคนน่าจะยังคิดถึงช่วงเวลาที่แสนสนุกสนาน? ในยามที่ได้เลี้ยงลูกอยู่บ้านแน่นอน
วันนี้เราได้มีโอกาสวิดีโอคอลสัมภาษณ์คุณแม่น้ำหวาน จากเพจ Happy Mommy Diary คุณแม่สายฮาสุดอารมณ์ดีของเด็กชายพีต้าและเพตั้น ที่จะมาเม้าท์มอยช่วงเวลาสุดหรรษารับรองว่าโดนใจคุณพ่อคุณแม่หลายคนแน่นอน บอกเลยว่าสนุกมากกก !!
นี่เป็นเพียง Episode แรกของ Save Family from COVID-19 the Series เท่านั้น หลังจากนี้จะมี Ep อื่นๆ ออกมาอีกเพียบ ฝากติดตามกันด้วยนะคะ
COVID-19 ส่งผลกระทบอะไรต่อคนเป็นแม่บ้าง
คุณแม่น้ำหวาน : มิติของคนเป็นแม่ น้ำหวานเชื่อว่าแม่ได้รับผลกระทบสูงสุดจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เพราะว่าตอนที่ลูกไปโรงเรียน ใน 1 วันเราก็จะได้มีเวลาเป็นของตัวเองด้วย พอเกิดเหตุการณ์นี้มันทำให้ชีวิตพลิกเลย จากที่มีเวลาเป็นของตัวเองกลับกลายเป็นว่า 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ คือจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ มาเรียกเราตลอดเวลา เวลาของเราคือไม่มีอีกต่อไปแล้ว ถามว่าเหนื่อยไหม มันเหนื่อยนะ เอาจริงๆ ในที่เป็นแม่ช่วงนี้ประสาทเขาจะใกล้แ-กทุกคน เชิญรับยาช่อง 2 เพราะว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าลูกเราเอาไปโยนให้คนอื่นก็ไม่ได้ เพราะมันคือความรับผิดชอบของพ่อแม่โดยตรงแบบ 100%
Work from Home ในสถานการณ์ COVID-19
คุณแม่น้ำหวาน : Work from Home แบบที่ลูกไปโรงเรียนกับ Work from Home แบบที่ลูกไม่ไปโรงเรียนมันก็แตกต่างกันมาก เพราะตอนลูกอนู่โรงเรียนเราก็จะมีเวลาได้ทำงานจริงๆ ถ้าลูกไม่ปิดเทอมอย่างเนี้ย เวลาเราจะคิดงานหรือทำอะไรที่ต้องใช้สมาธิ เราจะต้องการเวลา ต้องการเวลาที่ไม่มีคนมารบกวนระหว่างทาง แต่ช่วงนี้ลูกก็คืออันดับแรกอยู่แล้ว ดังนั้นชีวิตในมิติของการทำงานเราต้องยังทำอยู่เหมือนเดิม แต่ว่าในมิติของลูกมันเปลี่ยนแปลงมาก เพราะเขาไม่มีเวลาว่างให้เราเลย
ได้ทำตารางการใช้ชีวิตประจำวันของลูกไหม
คุณแม่น้ำหวาน : เคยคิดจะทำและไปอ่านเจอของคุณแม่โฮมสคูลคนหนึ่ง ที่เขาบอกว่าเห็นแชร์ตารางกันเยอะ เห็นคนทำตารางประจำวันเยอะ แต่ลองมาฟังแม่โฮมสคูลเลย เขาบอกว่าชีวิตจริงมันทำแบบนั้นไม่ได้ วัยอย่างนี้มันจะแน่นเกินไป มันจะซีเรียสเกินไป แล้วเขาก็จะไม่สามรถทำตามตางรางเหล่านั้นได้ ทำได้ดีที่สุดก็คือทำเป็นหัวข้อๆ ไว้ ว่าวันนี้เราอยากทำอะไรให้สำเร็จบ้าง เช่น วันนี้ต้องอ่านหนังสือภาษาไทยได้ถึงบทที่ 3 ทำเลขได้ถึงบทที่ 1 มีเล่นน้ำ มีเล่นทราย ต้องทำแบบนี้มันถึงจะประสบความสำเร็จได้ ซึ่งน้ำหวานไม่เคยทำเลย เพราะเอาตัวรอดไปวันๆ
แต่น้ำหวานโชคดีตรงที่ด้วยเนื้องานที่ทำ มันทำให้เราสามารถทำกิจกรรมร่วมกับลูกไปด้วยได้ เช่น ชวนลูกทำปาท่องโก๋ ทำขนมครก ชวนทำกับข้าว อะไรทำนองนี้ แต่ว่ามันก็แอบเหนื่อยเหมือนกัน
บอกลูกยังไงให้เขาเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
คุณแม่น้ำหวาน : โชคดีที่โรงเรียนเขาก็ช่วยสอนได้ส่วนหนึ่ง ว่ามันมีเชื้อโรคข้างนอกนะ เราออกไปข้างนอกไม่ได้ เราก็ต้องอยู่แต่ในบ้าน เขาก็จะเข้าใจนะคะ เพราะฉะนั้นใน 2 เดือนที่ผ่านมา เด็กๆ ก็ยังไม่ได้ออกไปไหนเลย แต่พีต้าล่าสุดเหมือนไปบ้านอาม่า แล้วเห็นข่าว ก็เอามาบอกเราว่า “วันนี้พีต้าเห็นข่าว ว่าสนามบินเขาเปิดแล้วนะหม่าม้า” เหมือนลูกก็อยากออกไปเที่ยว ไปสนามบินอยู่เหมือนกัน
จัดการศึกษาให้ลูกยังไงในช่วง COVID-19
คุณแม่น้ำหวาน : ณ วันนี้น้ำหวานเริ่มคิดว่าลูกไม่ต้องมีการศึกษามากก็ได้ ลูกต้องพัก คือฉันเนี่ยต้องพัก คือเล่าของเพตั้นก่อน คือโรงเรียนเพตั้นเขาเรียนแบบมอนเตสซอรี และช่วงที่ผ่านมาก็คือยังเปิดเทอม เลยก็จะมีเรียนออนไลน์ แล้วเขาก็ให้เราไปรับพวกอุปกรณ์ต่างๆ มาทำที่บ้าน พร้อมกับเรียนออนไลน์ไปด้วย แต่น้ำหวานไม่ได้เข้า เพราะอย่างแรกคือลูกไม่ได้สนใจ และเรารู้สึกว่าการจะให้ลูกนั่งหน้าจอกับการที่เราพาเขาทำกิจกรรมเองมันเหนื่อยน้อยกว่า
และส่วนตัวคิดว่าการทำกิจกรรมเองมันตรงการไลฟ์สไตล์และวัยของลูกมากกว่า สำหรับบ้านเราเลยปรับเป็นว่า อยากเข้าก็เข้า ไม่อยากเข้าเราก็ไม่บังคับ เพราะเราไม่ได้คิดว่ามันคิดสิ่งที่จำเป็นขนาดนั้น
เด็กๆ มีบ่นคิดถึงเพื่อนหรือโรงเรียนไหม
คุณแม่น้ำหวาน : ดราม่าตลอด เวลาถามว่าเด็กๆ คิดถึงโรงเรียนไหม ก็จะบอกกันพร้อมกันว่าคิดถึง แต่ลูกไม่รู้หรอกว่ามีคนที่คิดถึงกว่าลูกเยอะ คือฉัน!! น้ำหวานน้ำตาคลอแล้วอะ คิดถึงโรงเรียนสุดๆ อะ สุดๆๆๆๆ
คิดว่าอนาคตจะเปลี่ยนไปยังไงหลังสถานการณ์นี้ดีขึ้น
คุณแม่น้ำหวาน : คิดว่าก็คงเปลี่ยน แต่ในใจลึกๆ คิดว่าคงเปลี่ยนแต่ไม่ได้ตลอดไป เพราะว่ามนุษญ์เป็นสัตว์สังคม เอาแค่ตัวน้ำหวานเองไม่ได้ไปเดินห้างแค่ 2-3 เดือนก็จะบ้าตายแล้วนะ คือถ้าห้างกลับมาเปิด แล้วโรคมันหมดไปเราก็กลับไปเดินเหมือนเดิม