เด็กสองภาษา เป็นสิ่งที่หลายๆ ครอบครัวอยากให้ลูกเป็น เพราะเห็นถึงความสำคัญของภาษาอังกฤษซึ่งมีประโยชน์ต่ออนาคตของลูกเป็นอย่างมาก แต่คุณพ่อคุณแม่อาจกังวลว่าการเริ่มสอนลูกให้เป็นเด็กสองภาษาจะยากเกินไปรึเปล่า ถ้ายังไม่มั่นใจ เรามาลองดูเคล็ดลับและเทคนิคที่น่าสนใจจากคุณแม่เชอร์รี่กันดีกว่าค่ะ
คุณแม่เชอร์รี่ เป็นคุณแม่บล็อกเกอร์ เจ้าของเพจ “โอ้…มายลูก” และเพจ “เมนูลูกรัก” ซึ่งครอบครัวนี้มีการเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กสองภาษา แม้ว่าลูกจะไม่ได้เรียนโรงเรียนอินเตอร์ก็ตาม และคุณแม่เชอร์รี่ก็ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษ แต่กลับสามารถเลี้ยงลูกให้กลายเป็นเด็กสองภาษาได้ วันนี้เราจึงชวนคุณแม่เชอร์รี่มาบอกเล่าถึงเคล็ดลับและเทคนิคในการสอนลูกให้เป็นเด็กสองภาษา จะเป็นยังไงบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ!
เริ่มต้นสอนภาษาอังกฤษให้ลูกตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
คุณแม่เชอร์รี่ : วางแผนตั้งแต่ตอนท้องเลยค่ะ ว่าอยากเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กสองภาษา เราก็เลยหาข้อมูลว่าทำยังไงลูกถึงจะเป็นเด็กสองภาษาได้ เลยตกลงกับคุณพ่อเขาว่าเราควรที่จะต้องพูดภาษาอังกฤษกับลูกตั้งแต่เล็ก ซึ่งที่บ้านเริ่มพูดตั้งแต่ตอนเขาเกิดเลยค่ะ แต่เป็นคุณพ่อพูดภาษาอังกฤษกับลูกเป็นหลักนะคะ คุณแม่พูดภาษาไทย
ดังนั้นตั้งแต่เล็กมา คินก็จะรู้สองภาษามาตลอด จนกระทั่งเขาโตขึ้นมาแล้วพูดได้ เราถึงจะรู้ว่า อ๋อ ที่สอนๆ เขาไป เขาก็เอามาใช้เหมือนกัน เขาก็จะพูดภาษาอังกฤษกับพ่อ พูดภาษาไทยกับแม่ เลยกลายเป็นว่าเขามี 2 ช่องโดยอัตโนมัติ
ทำไมภาษาอังกฤษถึงมีความสำคัญกับเด็กไทยในปัจจุบัน ?
คุณแม่เชอร์รี่ : จริงๆ ก็ตั้งแต่รุ่นเราเลยค่ะที่เห็นว่าภาษาอังกฤษมีความสำคัญ แต่เราเรียนกันน้อย คือสมัยนั้นภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับก็ตอนที่เริ่มอยู่ประถมปลายแล้ว เราก็รู้สึกว่ามันช้าไป แต่ในยุคของลูกที่อนาคตข้างหน้าสังคมจะกลายเป็น AEC เลยทำให้เรารู้สึกว่าภาษาอังกฤษมีความสำคัญมาก
ดังนั้นเราเลยคิดว่าถ้าเรามีลูก เราต้องให้เขามีพื้นฐานตั้งแต่เล็กๆ เลย เพื่อเวลาที่เขาโตขึ้น เขาจะได้ใช้ในการเรียน การทำงาน แล้วก็ชีวิตประจำวันเขาได้
เทคนิคที่ใช้ในการสอนภาษาอังกฤษให้ลูกเอง ?
คุณแม่เชอร์รี่ : เทคนิคคือ ทำให้เขาใช้ภาษาอังกฤษอย่างเป็นธรรมชาติ เริ่มจากการพูดภาษาอังกฤษอย่างง่ายๆ เป็นพื้นฐานเบื้องต้น ไม่ต้องใช้คำศัพท์ยากหรือประโยคยาวๆ แค่พูดให้เขารู้ว่าอันนี้คืออะไร เช่น เราจะสอนให้เขารู้ว่า นี่คือ ‘บ้าน’ เราก็พูดไปเลยว่า ‘This is a house.’ ไม่ต้องพูดภาษาไทยแล้วแปล เขาก็จะรู้ว่านี่คือบ้าน โดยที่ไม่ต้องมาคิดก่อนว่า ‘บ้าน’ คือ ภาษาไทย ส่วนภาษาอังกฤษ คือ ‘House’ ดังนั้นลูกจะใช้ภาษาอังกฤษอย่างอัตโนมัติและเป็นธรรมชาติ
สรุปก็คือ อย่างแรกให้ใช้คำง่ายๆ ประโยคสั้นๆ ไม่ต้องพยายามให้เขาพูดได้ตั้งแต่แรก เน้นให้เขาฟัง เพราะเด็กๆ ยังไม่มีใครโต้ตอบได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เขาก็จะฟังไปเองอัตโนมัติ เขาก็จะฟังไปเรื่อยๆ อย่างที่สองคือพยายามเพิ่มคลังคำศัพท์ให้เขา อ่านหนังสือนิทาน อ่านหนังสือภาษาอังกฤษ หรือทุกอย่างที่เป็นภาษาอังกฤษให้เขาฟังเยอะๆ พอเขาโตขึ้นมาในระดับที่สามารถดูเครื่องมือสื่อสารได้ ก็อาจจะเปิดให้เขาดูบ้าง เช่น การ์ตูนภาษาอังกฤษในยูทูปที่มีประโยชน์ รวมไปถึงแอปพลิเคชั่นต่างๆ ที่สอนภาษาอังกฤษได้ด้วย สิ่งเหล่านี้ก็จะส่งผลให้ลูกสามารถฟัง พูด อ่าน เขียนได้ในวัยที่ยังเล็กอยู่
ปัญหาที่เจอจากการสอนภาษาอังกฤษให้ลูก ?
คุณแม่เชอร์รี่ : จริงๆ ก็ไม่ได้มองว่าเป็นปัญหา เพราะเราไม่ได้คาดหวังอะไรจากการสอนภาษาอังกฤษลูก นอกจากอยากให้เขาสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติ ให้ภาษาอังกฤษได้เข้าไปอยู่ในชีวิตเขา ซึ่งทุกวันนี้คินก็ไม่ได้พูดเป๊ะ หรือถูกต้องตามไวยากรณ์ทุกอย่าง แต่ว่าเขาก็สื่อสารได้ และเข้าใจในสิ่งที่เราสื่อสารด้วย
และจริงๆ เขาใช้ภาษาอังกฤษอย่างเป็นธรรมชาติกับพ่อเขาอยู่แล้ว แต่ว่ามีปัญหาที่เจอนิดนึง คือ เวลาที่เขาไปเจอสถานการณ์จริงๆ หรือเจอชาวต่างชาติจริงๆ เขาจะเขิน เหมือนเขารู้สึกว่าเขาจะพูดกับพ่อคนเดียว เขาจะไม่พูดกับคนอื่น พี่คิดว่าโรงเรียนก็มีส่วนสำคัญ ทั้งเพื่อนและสิ่งแวดล้อม ก็คือต้องพาเขาไปเจอสิ่งแวดล้อมที่มีชาวต่างชาติจริงๆ บ้าง เพื่อให้รู้ว่าคนอื่นใช้ภาษาแบบนี้ คนอื่นเขาพูดกับแบบนี้ ไม่ได้มีแค่พ่อคนเดียวที่พูด ดังนั้นสิ่งสำคัญ คือการนำไปใช้ เพราะถึงแม้ว่าลูกพูดเป็นก็จริงๆ แต่ไม่ได้ใช้ ก็ไม่มีประโยชน์ค่ะ
อยากให้ลูกเป็นเด็กสองภาษาแต่แม่ไม่เก่งทำยังไงดี ?
คุณแม่เชอร์รี่ : ทำได้นะคะ แน่นอนอยู่แล้วว่าคุณแม่คนไหนมีพื้นฐานภาษาอังกฤษดีก็จะได้เปรียบ อันนี้ต้องยอมรับ แต่ถ้าคุณแม่คนไหนที่ไม่ได้เก่ง อย่างพี่ก็ไม่ได้เก่ง ก็จะต้องมีการวางแผน ไม่ใช่ว่าจะสอนไปตามมีตามเกิด แม่ก็ต้องพยายาม ขวนขวายหาความรู้เพิ่มขึ้น ซึ่งเดี๋ยวนี้มีสื่อที่จะช่วยคุณแม่ในการสอนภาษาอังกฤษให้ลูกเยอะมากนะคะ
แล้วก็การให้ลูกเรียนออนไลน์ก็เป็นอีกทางเลือกนึง เพราะนอกจากแม่จะสอนเองแล้ว ก็ต้องมีการคุยกับฝรั่งจริงๆ เพื่อให้ลูกเห็นว่านี่คือสิ่งที่เขาต้องเจอ เขาต้องใช้ เมื่อเติบโตขึ้นไป ซึ่งเพื่อนๆ หลายคนที่ลูกเขาโตหน่อย ก็ใช้วิธีการเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ เพราะเขารู้สึกว่าไม่ต้องส่งลูกไปเรียนเมืองนอกก็ได้ เรียนที่เมืองไทยก็ได้คุยกับชาวต่างชาติจริงๆ
การเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์มีผลดียังไง ?
คุณแม่เชอร์รี่ : คิดว่ามีผลดีค่ะ คือตอนแรกพี่ก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้มากนัก แต่พอเขาเริ่มโตขึ้น แล้วเจอสถานการณ์จริงๆ เขาเริ่มมีความรู้สึกประหม่าและไม่มั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษ ไม่กล้าคุยกับชาวต่างชาติ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วพูดได้ ก็เลยคิดว่าการเรียนออนไลน์ในแบบที่เราเลือกเองได้ เลือกครูเอง เลือกเวลาเอง อย่าง Globish Kids ที่พี่ลองเสิร์ชหาดูแล้วเจอเว็บนี้ พอเข้าไปดูก็พบว่า เฮ้ย มันดีเหมือนกันนะ เหมือนเปิดโลกใหม่ให้เรา เพราะเราก็ไม่เคยเรียนอะไรแบบนี้ เราเคยแต่นั่งเรียนในห้องเรียนธรรมดา
แต่อันนี้เราเรียนผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่บ้าน เปิดโน้ตบุ๊ก นัดเวลาเรียน คือทันสมัยมาก แล้วก็ตอบโจทย์คือไม่ต้องเดินทางไปโรงเรียนสอนภาษา และคุณครูก็เป็นเจ้าของภาษาที่มีให้เลือกเยอะมาก มีให้เลือกเป็นสิบเลย และดีตรงที่เขามีเขียนไว้เลยนะคะว่าคุณครูคนนี้เป็นยังไงบ้าง มีนิสัยยังไง มีความชอบหรือสนใจอะไร เขาก็จะเขียนบรรยายแต่ละคนเป็นบุคลิกภาพเอาไว้ ซึ่งทำให้เราหาคุณครูที่เหมาะกับลูกของเราได้
เราก็ลองเลือกสุ่มดูแล้วให้คินลองเรียน ลูกก็ชอบเพราะเหมือนว่าได้เจอกับชาวต่างชาติจริงๆ โดยแต่ละครั้งใช้เวลาเรียนแค่ 25 นาทีเองนะคะ ซึ่งทำให้เขายังสนใจในบนเรียนนั้นอยู่ โดยวิธีการสอนจะเป็นการเชื่อมโยงการคุยการเล่น แล้วก็จะมีคำสั่งต่างๆ เช่น ให้วาดรูป ก็จะทำให้รู้ว่าลูกเราฟังได้ อ่านได้ เขียนได้ คืออยู่ในบทเรียนนั้นหมดเลย ก็เลยรู้สึกว่านี่อาจจะเป็นตัวช่วยสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่สะดวกที่จะสอนเอง
ฝากอะไรถึงคุณพ่อคุณแม่ที่อยากสอนลูกแบบสองภาษา ?
คุณแม่เชอร์รี่ : ต้องเริ่มจากการตั้งใจจริงก่อนเลยนะคะ จริงๆ เป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับพ่อแม่ คือพี่มีลูก 2 คน คนแรกเราก็ตั้งใจกันไว้อย่างหนักหน่วงว่าจะให้เขาพูดภาษาอังกฤษได้ ซึ่งเขาก็ทำได้ตามนั้น แต่คนที่ 2 ปรากฏว่าความตั้งใจเราเริ่มลดลง เนื่องจากเรามีภาระของลูกคนแรกเพิ่มมากขึ้น ทำให้เราสอนลูกคนที่ 2 น้อยลง เราเห็นชัดเลยว่าภาษาอังกฤษของเขาก็จะไม่เท่าพี่
เราเลยรู้สึกว่า ความตั้งใจของพ่อแม่เป็นสิ่งสำคัญ ถ้ามีความตั้งใจจริงต้องทำให้สุด อย่าทำครึ่งๆ กลางๆ เช่น พอเห็นลูกยังไม่ได้ผลก็ไม่เอาแล้ว ไม่สอนแล้ว คือการเรียนภาษาไม่ได้เห็นผลทันที เราไม่เห็นผลวันนี้หรอก แต่เด็กจะเก็บไว้ในคลังของเขา แล้วก็จะดึงมาใช้ในเวลาที่เขาต้องใช้
ดังนั้นถ้าเกิดคุณพ่อคุณแม่คนไหนอยากสอนลูกเป็นภาษาอังกฤษนะคะ อย่างแรกเลยก็คือ ต้องตั้งใจและทำไปจนสุดด้วยวิธีการที่เราศึกษา หาข้อมูล แล้วก็สอนตามแนวทางที่เราวางไว้ หาตัวช่วยที่เข้ามาช่วยเราถ้าเราไม่ถนัด หรือถ้าคิดว่าภาษาอังกฤษเรายังไม่แข็งแรงพอ ก็อาจต้องมีการให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษสถาบันต่างๆ เพิ่ม ซึ่งการเรียนออนไลน์เป็นทางเลือกหนึ่งที่อยากให้คุณพ่อคุณแม่ลองตัดสินใจใช้ดูค่ะ
GLOBISH KIDS ห้องเรียนเดียวที่ออกแบบมาเพื่อลูกของคุณ
Globish Kids เป็นสถาบันสอนภาษาอังกฤษออนไลน์สำหรับเด็กที่เรียนผ่าน Video Call แบบตัวต่อตัว โดยมีทั้งคุณครูที่เป็นชาวต่างชาติและชาวไทยที่ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างถูกต้อง ซึ่งเด็กๆ จะได้ทั้งความรู้และความสนุกจากคุณครูมืออาชีพ ที่สำคัญด้วยความเป็นออนไลน์ ดังนั้นเพียงแค่มีอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็เรียนได้ คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าลูกจะต้องออกเดินทางไปเรียนข้างนอก แถมยังคอยดูแลลูกอยู่ที่บ้านได้อีกด้วย
ความน่าสนใจของ Globish Kids อีกอย่างหนึ่งคือ ก่อนที่จะเริ่มเรียนจะมีการทดสอบวัดระดับภาษาของเด็กๆ เพื่อให้ได้คอร์สเรียนที่เหมาะสมกับวัยและระดับภาษา หลังจากนั้นก็สามารถเลือกคุณครูที่ต้องการเรียนได้เอง โดยมีคุณครูให้เลือกเยอะมากๆ ค่ะ และที่สำคัญคือสามารถจัดตารางเวลาเรียนได้ด้วยตนเอง ซึ่งที่นี่เน้นการสอนอย่างมีประสิทธิภาพในระยะเวลาที่เหมาะสมกับการเรียนรู้ของเด็กคือครั้งละ 25 นาทีต่อวัน เพียงเท่านี้ก็จะเป็นการสร้างทักษะการพูด ฟัง อ่าน เขียนทำให้ลูกกลายเป็นเด็ก 2 ภาษาได้ไม่ยากค่ะ
หากคุณพ่อคุณแม่คนไหนสนใจก็สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนให้ลูกลองทดสอบระดับภาษาอังกฤษฟรี ได้ที่ Globish Kids