เคยไหมคะ? แปรงฟันให้ลูกทุกวัน แต่ฟันก็ยังผุ… ทั้งๆ ที่คุณพ่อคุณแม่พยายามอย่างมากเพื่อสุขภาพช่องปากที่ดีของเจ้าตัวเล็ก นั่นเป็นเพราะความเข้าใจผิดเกี่ยวกับฟัน หรือไม่เคยรู้เรื่องลับๆ ของฟันมาก่อนค่ะ
วันนี้ Parents One ได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณหมอเต้ – ทพญ. มณฑิสา เอี่ยมกระสินธุ์ – จาก Dente Align Clinic ทันตกรรม คุณหมอที่ดูแลฟันให้แก่จินและเรนนี่ แห่งบ้าน Little monster รวมไปถึงน้องวชิของเรา มาดูกันดีกว่าว่าการดูแลฟันให้เด็ก จริงๆ แล้วควรจะต้องมีอะไรกันบ้าง ?
ปัญหายอดฮิตเกี่ยวกับเรื่องฟันของเด็กที่หมอฟันมักจะเจอบ่อยๆ คืออะไร
หมอเต้ : ปัญหาหลักของเด็กคือฟันผุค่ะ เพราะดื่มนมขวดคาปากตอนนอน ให้ลูกหลับไปพร้อมกับขวดนม ก็จะมีการหมักของเชื้อจุลินทรีย์ ถึงแม้ว่าเป็นนมจืดแต่ในนมก็มีน้ำตาลแลคโตสอยู่แล้ว
ในช่วงกลางคืน เป็นช่วงที่ร่างกายมีการสร้างน้ำลายออกมาน้อยกว่าในเวลากลางวัน พอตื่นมาจะรู้สึกว่าช่องปากเหนียวขึ้น ดังนั้นการนอนหลับคาขวดนมตอนกลางคืนจะทำให้เกิดฟันผุได้ง่าย
จริงไหมที่เด็กสมัยนี้ฟันผุมากกว่าสมัยก่อน
หมอเต้ : จริงค่ะ บางทีอาจจะมาจากความเชื่อที่ผิดๆ เช่น คุณแม่เห็นลูกไม่กินนม เลยใส่น้ำหวาน ใส่น้ำตาล เอานมรสหวานให้ลูกกิน เหมือนเป็นตัวช่วยให้ลูกกินนมได้มากขึ้น ซึ่งจริงๆ มีปริมาณน้ำตาลเยอะ และเนื้อนมน้อยกว่ามาก ทำให้เด็กได้รับประโยชน์จากการกินนมน้อย
เรื่องของการทำความสะอาดก็เป็นส่วนสำคัญ บางทีเด็กไม่ยอมให้ทำความสะอาด พ่อแม่บางคนสงสารลูก ไม่อยากเห็นลูกร้องไห้ ไม่อยากขัดใจ ก็ไม่แปรง แบบนี้จะเรียกว่าพ่อแม่รังแกฉันก็ได้
ทำไมจะต้องดูแลฟันน้ำนมด้วย ในเมื่อเดี๋ยวมันก็ต้องหลุด
หมอเต้ : เรื่องนี้เป็นปัญหายอดฮิต จริงๆ แล้วฟันน้ำนมสำคัญมาก เมื่อเราเสียฟันไป ไม่ว่าฟันหน้าหรือฟันหลังก็จะส่งผลกระทบตามมา คือ
- ถ้าฟันหน้าก็จะพูดไม่ชัดและทำให้ยิ้มไม่เต็มที่ พอยิ้มก็โดนแซ็วจนเกิดความไม่มั่นใจ บุคลิกภาพก็เสียไป
- ถ้าฟันหลังก็เคี้ยวไม่ละเอียด การเคี้ยวไม่ละเอียดจะส่งผลไปถึงระบบการย่อยอาหาร
- การมีฟันผุค้างอยู่ในปากจะทำให้เชื้อโรคที่ฟันน้ำนมทะลุไปหาฟันแท้ที่อยู่ข้างใต้ได้ ซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อ เชื้อโรคก็วนเวียนอยู่ในปากไปเรื่อยๆ น้องจะกลายเป็นคนที่มีกลิ่นปาก
- การเก็บฟันน้ำนมที่ดีเอาไว้ก็เป็นการกระตุ้นให้เกิดการสร้างกระดูกขากรรไกรให้เป็นในลักษณะที่เหมาะสม
วิธีการดูแลช่องปากให้ลูก
หมอเต้ : ในเรื่องของการดูแล เราต้องแบ่งเป็นช่วงอายุก่อน ถ้าเด็กที่ฟันยังไม่ขึ้น แรกเกิดจนถึง 6 เดือน หลักๆ คือให้กินนมแม่ อย่าให้น้องกินอะไรที่มีรสหวาน อย่าเอาอาหารรสหวานมาเป็นรางวัล เช่น ถ้าเป็นเด็กดีเดี๋ยวให้กินลูกอม เราต้องมีการชักจูงหรือมีแรงจูงใจเป็นอย่างอื่น ส่วนวิธีที่สำคัญคือ
- เริ่มทำความสะอาดด้วยการใช้ผ้าก็อซชุบน้ำต้มสุกบิดหมาดแล้วเช็ดในช่องปากน้อง ถึงแม้หลับก็ยังทำได้ เพื่อให้เขาค่อยๆ คุ้นเคยกับการมีอะไรอยู่ในปาก เราก็ต้องสร้างพฤติกรรม สร้างประสบการณ์ที่ไม่ได้น่ากลัวให้กับเขาตั้งแต่เด็ก
- ในเด็กประมาณ 2-3 ขวบที่ฟันน้ำนมขึ้นครบหมดแล้ว การแปรงฟันด้วยแปรงสีฟันอย่างเดียวเริ่มไม่สะอาด ต้องใช้ไหมขัดฟัน เข้าไปในซอกฟัน ต้องใส่แล้วมีการโอบเป็นตัวซี ซึ่งพ่อแม่หลายคนไม่ได้ทำ เพราะทำไม่เป็น ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พ่อแม่หลายคนละเลยไป ซึ่งจริงๆ ดูเหมือนยาก แต่ถ้าทำเป็นนิสัยแล้วทุกอย่างจะง่าย
การหาหมอฟันสำหรับเด็กจำเป็นมากแค่ไหนและควรบ่อยแค่ไหน
หมอเต้ : การหาหมอฟันก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ปกติจะแนะนำให้มาเจอหมอฟันตั้งแต่ฟันซี่แรกเริ่มขึ้น เพราะว่า เราจะได้มาตรวจว่าฟันซี่แรกที่ขึ้นมาเป็นฟันปกติหรือเปล่า ฟันขึ้นในตำแหน่งที่ดีไหม ควรพามาเป็นประจำทุก 6 เดือนหรือ 3 เดือนแล้วแต่ความเสี่ยงในการเกิดฟันผุ เพื่อติดตามการขึ้นของฟัน ดูพฤติกรรม ดูอาหารการกิน การทำความสะอาด เป็นต้น
การมาหาหมอฟันโดยที่ยังไม่มีปัญหา อย่างน้อยคือปรับพฤติกรรมให้น้องคุ้นเคยกับหมอฟัน ถ้าเด็กไม่เคยต้องเจ็บปวดกับการทำฟัน เขาจะไม่เคยกลัวหมอฟันเลย เขาไม่ทรมาน มาเจอกันทีก็ขัดฟัน เคลือบฟลูออไรด์ (หัวเราะ) ไม่ต้องมานั่งกรอฟัน หรือถ้ามีผุจริงๆ ก็จะเป็นจุดเล็กๆ ค่ะ
ฟลูออไรด์จำเป็นมากแค่ไหนในเด็กเล็ก
หมอเต้ : เด็กเล็กมากๆ อาจยังไม่ต้องใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ หรือถ้าจะใช้ก็ต้องป้ายน้อยมาก แค่พอเปียก เป็นการควบคุมปริมาณฟลูออไรด์ไม่ให้รับเยอะเกินไป เพราะถ้าน้องกลืนขึ้นมาก็จะมีปัญหาอื่นๆ ตามมาได้ เช่น ฟันตกกระ เป็นรอยด่างขาวที่ฟัน ยาสีฟันต้องเลือกที่ไม่มีน้ำตาล ไม่มีแอลกอฮอล์
ส่วนการเคลือบฟลูออไรด์ในเด็กเล็กๆ หมอแนะนำให้เคลือบฟลูออไรด์ตั้งแต่ 2 – 2 ขวบครึ่ง ให้น้องเขาโตหน่อย พอคุยรู้เรื่องได้บ้าง อีกอย่างที่สำคัญคือเรื่องควบคุมการกลืน น้องต้องควบคุมการกลืนได้ดีพอสมควร อาจลองให้น้องบ้วนน้ำให้เป็นก่อน
หลักการที่สำคัญในการทำฟันให้เด็ก
หมอเต้ : ปกติเราต้องใช้หลักการทางจิตวิทยาค่ะ คือ
- สร้างความคุ้นเคยกับเด็กก่อน
- ให้ดูอุปกรณ์คร่าวๆ ว่าอุปกรณ์ของหมอคืออะไร อย่างเช่น หมอมีกระจกนะ อันนี้กระจกเอาไว้นับฟัน เป็นต้น
- ภาษาที่ใช้เวลาทำฟันเด็กจะเป็นภาษาน่ารักๆ เป็นภาษาสร้างจินตนาการที่ดีให้กับเด็ก (หัวเราะ) เช่น ถ้ามีการกรอฟัน ก็อาจจะเป็น การเป่าน้ำที่ฟัน ล้างน้ำ มีหนอนกี่ตัว ขอนับหน่อย ตอนนี้หนอนออกไปตัวหนึ่งแล้วนะ ขอคุณหมอดูนิดนึงนะ อะไรแบบนี้
- มีการแยกผู้ปกครอง เพราะว่าเด็กจะอ้อนถ้าเห็นพ่อแม่ บางคนร้องไม่หยุด แต่เราสามารถใช้เรื่องนี้มาเป็นแรงกระตุ้นเชิงบวกได้ คือ ให้คุณพ่อคุณแม่เข้ามาอยู่กับน้องเมื่อน้องทำตัวดี เช่น อ้าปากค้างแล้ว เก่งมากเลยลูก เดี๋ยวคุณหมอให้คุณพ่อคุณแม่เข้ามาอยู่กับหนู แต่หนูต้องเป็นเด็กดีนะ เป็นต้น
- ใช้วิธีหลอกล่ออื่นๆ เช่น ให้วิตามินซีหรือลูกโป่งที่พับเป็นหมาหรือดอกไม้ ซึ่งหมอฝึกเรื่องการพับลูกโป่งมาตั้งแต่สมัยที่เป็นนักศึกษาทันตแพทย์เลยค่ะ (หัวเราะ)
สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องเตรียมก่อนพาลูกมาหาหมอฟัน
หมอเต้ : ต้องคุยกับน้องให้ดีเวลาจะพามาหาหมอฟัน ให้ใช้หมอฟันเป็นแรงกระตุ้นเชิงบวก ไม่ใช่บอกว่า ‘ถ้าหนูดื้อจะพาไปหาหมอฟัน พาไปถอนฟันเลย’ อย่าใช้หมอฟันเป็นคำขู่ ไม่ได้เลยค่ะ หมอจะต้องเป็นเหมือนนางฟ้า ไม่ใช่นางมารร้าย (หัวเราะ) ต้องบอกว่ามาเจอหมอ หมอจะทำให้หนูฟันสวย ฟันขาว หมอจะทาวุ้นๆ เจลๆ ที่ฟัน สนุกๆ
นอกจากเรื่องเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปากต่างๆ แล้ว คุณหมอก็ยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดฟันในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับความผิดปกติจากการขึ้นของฟันอีกด้วย เนื่องจากคุณหมอเต้เป็นคุณหมอเฉพาะทางเรื่องจัดฟันค่ะ
จัดฟันแบบใสคืออะไร
หมอเต้ : จัดฟันแบบใสก็เป็นเครื่องมือถอดได้ชนิดหนึ่งถูกทำมาเฉพาะบุคคล โดยสามารถวางแผนได้ตั้งแต่ต้นจนจบว่าจะให้มีสเต็ปการเคลื่อนฟันไปในลักษณะไหน
หลักการการเคลื่อนที่ของฟันก็คือ หมอจะแสกนฟันสามมิติของคนไข้ขึ้นมา คือเห็นได้รอบด้าน จากนั้นก็จะแพลนการเคลื่อนฟันตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะฉะนั้นคนไข้จะรู้เลยว่าระยะเวลาที่ใช้จัดฟันทั้งหมดคือใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ ต้องเปลี่ยนเครื่องมือจำนวนกี่ชิ้น ซึ่งจะมีซีรีส์ของชุดเครื่องมือ คือฟันจะเคลื่อนที่ละนิดตามการเปลี่ยนแปลงของชุดเครื่องมือค่ะ
โดยรวมคือ สวย เร็ว ดีแต่แพง วินัยของคนไข้คือสิ่งที่หมอพยายามเน้นที่สุด เพราะว่า มันเป็นอุปกรณ์ที่ถอดได้ คือคนไข้สามารถกินข้าวได้ตามปกติ จะให้ถอดเฉพาะตอนกินข้าวกับตอนแปรงฟัน ถ้าไม่ใส่ก็ไม่เกิดการเคลื่อนฟัน ถ้าใส่ไม่ถูกต้องตามที่หมอบอกก็เกิดการเคลื่อนฟันไปในทางที่ผิด
เราก็อยากให้คนไข้ได้รับแต่สิ่งที่ดีค่ะ ถ้าสมมติว่าคนไข้มีงบประมาณเท่าไหร่ จริงๆ แล้วเราก็สามารถที่จะเลือกได้ การจัดฟันใสหรือเหล็กเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่ง ถ้ามีงบแค่ไหน อยากมีไลฟ์สไตล์แบบไหน ก็เลือกให้เหมือนกับที่เราต้องการได้
เรียบเรียงโดย
ทีมงาน ParentsOne