เราควรเลือกใช้น้ำมันประเภทไหนในการทำอาหารให้ลูก? สิ่งแรกที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำมาประกอบการตัดสินใจได้ว่า ควรใช้น้ำมันประเภทไหนทำอะไร คือเราต้องทราบก่อนว่าน้ำมันแต่ละประเภทเหมาะกับการทำอะไรบ้างค่ะ
น้ำมันแต่ละประเภทเหมาะสำหรับการทำอะไรบ้าง ?
น้ำมันมะกอก: แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1. น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น (Extra Vergin Olive Oil) คือ น้ำมันที่ผ่านกระบวนการบีบเย็นครั้งแรก สารอาหารต่าง ๆ จึงอยู่ครบ เลยทำให้ได้น้ำมันมะกอกที่ที่มีคุณภาพสูงสุดในบรรดาน้ำมันมะกอกทั้งหลาย
* เหมาะสำหรับ: ทำน้ำสลัด ราดหน้าขนมปัง และราดบนอาหารอิตาเลี่ยนก่อนจัดเสิร์ฟ
* ประโยชน์: น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น เป็นน้ำมันมะกอกที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุดเนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระ อุดมไปด้วยวิตามินเอ ดี อี เค ช่วยลดภาวะการเกิดโรคหัวใจ, ลดการเกิดมะเร็ง
* จุดเกิดควัน: 160 องศาเซลเซียส
2. น้ำมันมะกอกเวอร์จิ้น(Vergin Olive Oil) คือ น้ำมันที่ผ่านการบีบเย็นครั้งแรกแต่มีรสชาติ สี และกลิ่นไม่โดดเด่นเท่ากับน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น
* เหมาะสำหรับ: อาหารจานผัด อาหารอบ และเบอเกอรี่ที่ใช้อุณหภูมิไม่เกินจุดเกิดควันของน้ำมัน
* ประโยชน์: น้ำมันมะกอกชนิดนี้มีคุณค่าทางโภชนาการในลักษณะใกล้เคียงกับน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น
* จุดเกิดควัน: 216 องศาเซลเซียส
3. น้ำมันมะกอก (Olive Oil) คือน้ำมันมะกอกชนิดนี้เกิดจากการสกัดน้ำมันจากผลมะกอกที่เหลือจากการบีบเย็นครั้งแรก ทำให้คุณค่าทางโภชนาการและสารต้านอนุมูลอิสระถูกกลั่นออกไปมากกว่าน้ำมันมะกอกชนิดอื่น
* เหมาะสำหรับ: อาหารทอด อาหารผัด
จุดเกิดควัน: 246 องศาเซลเซียส
น้ำมันดอกทานตะวัน
คือ น้ำมันที่ได้จากการสกัดน้ำมันในเมล็ดดอกทานตะวัน ทนความร้อนได้สูง
* เหมาะสำหรับ: อาหารผัด อาหารทอด อย่างเทมปุระและเฟรนด์ฟราย
* ประโยชน์: น้ำมันดอกทานตะวันช่วยลดระดับคอเรสโตรอลได้เป็นอย่างดี
* จุดเกิดควัน: 225 องศาเซลเซียส
น้ำมันงา
คือ น้ำมันพืชที่สกัดมาจากเมล็ดงา สามารถใช้รับประทานได้ สามารถใช้ประกอบอาหาร และปรุงอาหารได้ มีกลิ่นและรสชาติออกคล้ายๆ ถั่ว
* เหมาะสำหรับ: น้ำมันงาเป็นน้ำมันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวชัดเจนจึงเหมาะสำหรับการใช้เป็นส่วนผสมของอาหารประเภทหมัก ผสมในซอสปรุงรส และอาหารจานผัด
* ประโยชน์: น้ำมันงามีวิตามินเค สังกะสี แคลเซียมและแร่ธาตุที่สำคัญในการสร้างกระดูกให้แข็งแรง เร่งการเจริญเติบโตของกระดูกเพื่อช่วยให้กระดูกประสานกันเร็วขึ้นและยังช่วยป้องกันการเกิดกระดูกพรุนได้อีกด้วย
* จุดเกิดควัน: 175-210 องศาเซลเซียส
น้ำมันดอกคำฝอย
คือ น้ำมันที่สกัดมาจากเมล็ดดอกคำฝอย
* เหมาะสำหรับ: เนื่องจากมีรสชาติเป็นกลางและมีจุดเกิดควันสูงจึงสามารถใช้ปรุงอาหารได้หลากหลายทั้งหมัก ผัด ทอด อบ ทำน้ำสลัด และทำเนยเทียม
* ประโยชน์: น้ำมันดอกคำฝอยเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ สามารถลดการอักเสบภายในร่างกาย ลดระดับคลอเรสตอรอล ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินอีจึงนิยมนำมาเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอีกด้วย
* จุดเกิดควัน: 265 องศาเซลเซียส
น้ำมันเมล็ดองุ่น
คือ น้ำมันที่สกัดจากเมล็ดองุ่นที่เหลือจากการทำไวน์ มีรสชาติเฉพาะตัว
* เหมาะสำหรับ: ทำน้ำสลัด ทำมายองเนส และอบเบอเกอรี่ค่ะ
* ประโยชน์: น้ำมันองุ่นอุดมไปด้วยโอเมก้า6 และสารต้านอนุมูลอิสระฟีนอล
* จุดเกิดควัน: 195 องศาเซลเซียส
น้ำมันดอกคาโนล่า
คือ น้ำมันที่ได้จากการสกัดน้ำมันจากเมล็ดดอกคาโนล่า มีรสเป็นกลางและดีต่อสุขภาพ
* เหมาะสำหรับ: อาหารผัด ทอด อบ
* ประโยชน์: น้ำมันดอกคาโนล่าอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 และ 6 จึงช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอล ทั้งยังเป็นแหล่งของวิตามินอีและเคที่สามารถช่วยชะลอริ้วรอยให้ดูอ่อนวัยอีกด้วย
* จุดเกิดควัน: 205 องศาเซลเซียส
น้ำมันรำข้าว
คือ น้ำมันที่สกัดมาจากรำข้าวและจมูกข้าวสาลี เป็นน้ำมันที่ใช้ประกอบอาหารได้หลากหลายเนื่องจากมีกลิ่นและรสเป็นกลางจึงไม่รบกวนรสชาติของอาหารทุกประเภท
* เหมาะสำหรับ: อาหารที่ใช้ความร้องสูงอย่างผัด ทอด อบ ย่างและเบอเกอรี่
* ประโยชน์: สามารถควบคุมปริมาณคลอเรสเตอรอลในร่างกายได้ดี เป็นน้ำมันที่ดีต่อหัวใจ นอกจากนี้ยังมีวิตามินอีซับซ้อนและสารต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยชะลอความอ่อนวัยได้
* จุดเกิดควัน 250 องศาเซลเซียส
น้ำมันมะพร้าว
คือ น้ำมันที่สกัดจากเมล็ดและเนื้อมะพร้าวแก่ มีไขมันอิ่มตัวถึงร้อยละ 90
* เหมาะกับ: เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวมีความหวานตามธรรมชาติอยู่แล้ว จึงนิยมนำมาใช้ในส่วนประกอบของเบอเกอรี่ และอาหารจานผัด
* ประโยชน์: น้ำมันมะพร้าวช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง เพิ่มไขมันดี(HDL) และช่วยลดไขมันเลว(LDL) ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดโรคหัวใจ
* จุดเกิดควัน: 175 องศาเซลเซียส
น้ำมันปาล์ม
คือ น้ำมันพืชที่มีราคาถูกที่สุด แต่คนทั่วไปต่อต้านการใช้น้ำมันปาล์มเนื่องจากขั้นตอนในการผลิตก่อให้เกิดไขมันทรานที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
* เหมาะกับ: อาหารทอด
* ประโยชน์: น้ำมันปาล์มมีวิตามินอีในกลุ่มโทโคไตรอีนอล (tocotrienols)สูง จึงมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานของสมองชะลอการเกิดอัลไซเมอร์ และยังลดการเกิดภาวะโรคหัวใจ
* จุดเกิดควัน: 232 องศาเซลเซียส
น้ำมันถั่วเหลือง
คือ น้ำมันที่มีมีกระบวนการผลิตที่ไม่ทำให้เกิดไขเมื่อตั้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง และไม่มีไขมันทรานซ์หรือไขมันตัวการที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจ
* เหมาะกับ: อาหารประเภทผัด ทอด
* ประโยชน์: น้ำมันถั่วเหลืองมีวิตามินอีและเค ช่วยเสริมสร้างให้กระดูกแข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน มีโอเมก้า 3 ที่ช่วยบำรุงเรื่องสายตา และมีไขมันชนิดไม่อิ่มตัวสูงจึงช่วยควบคุมระดับคลอเรสตอรอล
* จุดเกิดควัน: 230 องศาเซลเซียส
น้ำมันหมู
คือ น้ำมันที่สามารถทำใช้เองได้ภายในครัวเรือนโดยไม่มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก แม้ว่าน้ำมันที่ได้เป็นไขมันจากสัตว์และก็มีไขมันอิ่มตัวสูงแต่ไม่มีไขมันทรานซ์ซึ่งเป็นไขมันตัวการของโรคหัวใจ
* เหมาะกับ: น้ำมันหมูช่วยเพิ่มรสชาติของอาหารให้มีความอร่อยและมีรสชาติที่โดดเด่นขึ้นโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในปริมาณมาก เหมาะกับอาหารประเภทผัด และเบอเกอรี่ประเภทพาย เพราะจะทำให้แป้งพายมีความกรอบมาก
* ประโยชน์: น้ำมันหมูมีกรดไขมันอิ่มตัว สามารถช่วยลดระดับคลอเรสโตรอลไม่ดี(LDL) ช่วยเพิ่มระดับคลอเรสโตรอลดี(HDL) และยังมีกรดโอเลอิคที่ช่วยบำรุงหัวใจและผิวตลอดจนช่วยปรับสมดุลในร่างกายอีกด้วย
* จุดเกิดควัน: 185 องศาเซลเซียส