เป้าหมายหนึ่งของการเลี้ยงดูลูก ก็คือ ลูกใช้ชีวิตด้วยตนเองได้
เพราะเรา ไม่สามารถอยู่กับเขาไปได้ตลอด อยากให้ลูกใช้ชีวิตได้ในวันข้างหน้าโดยไม่มีเรา
ดังนั้น การฝึกให้เด็กๆ ให้คิดเป็น แก้ไขปัญหาเองเป็น จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น และเริ่มต้นได้ง่ายๆ ด้วยการฝึกลูกให้คิดอย่างเป็นระบบ จะฝึกอย่างไรได้บ้างนั้น ไปดูกันเลยค่ะ
พ่อแม่ต้องลดความรู้ใจลูกลงบ้าง เพื่อให้ลูกรู้จักสื่อสารออกมา
- เมื่อวัย 6 เดือนแรก การสื่อสารของลูกคือการร้องไห้ เราต้องตอบสนองเค้า ดูแลอย่างใกล้ชิด แต่พอลูกเริ่มรู้เรื่อง รูปแบบการร้องไห้ การสื่อสารของเขาจะหลากหลายขึ้น และพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดู จะเข้าใจได้ว่า ลูกต้องการอะไร
- หากต้องการฝึกลูกในด้านการสื่อสารความต้องการนั้น เราต้องลดความ “รู้ใจ” ลง บางครั้งเราทำให้เขาก่อนที่เขาจะสื่อสารออก
ยิ่งถ้าเราไม่เดาใจเขาทุกอย่างแต่เลือกที่จะให้เขาเป้นคนพูดออกมา ลูกก็จะกล้าแสดงออกมากขึ้น และ พยายามที่จะสื่อสารกับเราโดยเฉพาะเวลาที่เราเข้าใจตรงกัน เขาจะยิ่งมั่นใจขึ้นมากๆ เลยที่จะสื่อสารต่อไป
สอนให้ลูกรู้ว่าเขาสามารถสื่อสารได้ โดยตั้งคำถามง่ายๆ ทีละสเต็ป ช้าๆ
การสื่อสารจะต้องมีทั้งผู้รับ, ผู้ส่งและรูปแบบของสาร เราสามารถฝึกการสื่อสารของลูกได้โดยการ
- ฝึกให้คิดอย่างเป็นระบบ
- เมื่อต้องการสิ่งใด ให้ร้องขอ หรือสื่อสารบางอย่างออกมา
- พ่อแม่ต้องสอนวิธีการสื่อสารให้ เช่น เมื่อลูกหิว สอนว่า “หม่ำๆ” ลูกหิวใช่มั้ย มาหม่ำๆกัน ทำท่าชี้ปากให้ดู ออกเสียงช้าๆ ชัดๆ , เมื่อลูกเกิดอุบัติเหตุ ร้องไห้ เช่น หัวชนโต๊ะ สอนว่า ลูกหัวโป๊กตรงนี้หรือ ตรงนี้มั้ย หรือตรงนี้ ลองแตะหลายๆ ที่เพื่อให้เค้าพาไปสู่จุดที่เค้าเจ็บจริง ซึ่งเราอาจเห็นแต่แรกอยู่แล้วว่าเจ็บที่หัว แต่ให้ถาม เพื่อฝึกให้เค้าบอกเรา
สอนให้รู้จักเหตุและผล
- เป็นการสอนว่า อะไร ทำไม เพราะอะไร และผลเป็นอย่างไร อันนี้ก็ช่วยฝึกคิดอย่างเป็นระบบ เวลามีปัญหาหรือมีสถานการณ์อะไรเกิดขึ้น เขาได้ไล่ลำดับการคิดได้ ของแบบนี้ต้องฝึกบ่อยๆ เป็นธรรมชาติ จนกลายเป็นพื้นฐานวิธีคิด เช่น ลูกเดินไปชนโต๊ะ เมื่อคุยเรื่องความบาดเจ็บแล้ว ปลอบใจให้หายตกใจแล้ว
- จากข้อบน ถามเค้าว่า เมื่อกี้ลูกชนอะไร บางครั้งเหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก ลูกอาจไม่รู้ว่าเพราะอะไรตัวเองจึงเจ็บตัว เราสามารถบอกลูกได้ เมื่อกี้ลูกชนอันนี้นะ เรียกว่าโต๊ะ โต๊ะมันแข็งนะลูก ลองเคาะดู (จับมือเค้าไปเคาะ) ถ้าชนแรงจะเจ็บนะ ตรงนี้ (จับมือลูกไปแตะที่หัวที่เขาชนเมื่อสักครู่) ระวังชนโต๊ะนะ เคาะโต๊ะให้มีเสียงอีกสัก 2 ครั้ง แล้วสอนให้ออกเสียงว่า “โต๊ะ” จะได้เรียกถูก
- เหตุ และ ผล เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้อนาคตเข้าค้นหา หรือมีแก่นความคิดไว้เกาะ เป็นการวางพื้นฐานการคิดแบบมีตรรกะ มีระบบคิด
ตอบคำถามลูกด้วยความตั้งใจ
หลายครั้งในวัยเตาะแตะ ลูกกำลังเริ่มเผชิญโลกกว้าง เราอาจจะต้องเจอคำถามร้อยแปดพันก้าว บางครั้งเป็นคำพูดในวัยหัดพูด บางครั้งเป็นสีหน้าท่าทางหรือน้ำเสียงอ้อแอ้ตามวัยของเขา เราสามารถสังเกตอาการเหล่านั้น และตอบคำถามเพื่อคลายข้อสงสัยให้ลูก ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ชัดเจน เช่น วัยที่ยังพูดไม่เป็นคำ แต่เขามีประสาทสัมผัสหลายด้านที่สามารถรับรู้ได้ เราอาจดูจากท่าทางแล้วตอบเขา “ได้ยินเสียงมั้ยครับ เสียงดังมั้ย อันนี้คือเสียงรถนะ ที่ปะป๊าขับ เสียงเป็นแบบนี้ บรืนๆ”
ลูกก็จะจดจำได้ว่านี่คือเสียงของรถนะ เขาต้องระวังนะ ต้องรีบมองหานะพอมีรถมา
ตอบคำถามลูกโดยตั้งสติให้ดี ไม่ใช้อารมณ์แบบผิดๆ
บางครั้งเราอาจเผลอลืมไปว่า ลูกยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ เขายังไม่สามารถเข้าใจได้ในครั้งเดียวหรือรู้ทุกอย่างได้ด้วยการพูดเพียงครั้งเดียวจบ เพราะงั้นคงมีบ้างที่จะถูกถามซ้ำๆ จนทำให้คุณพ่อคุณแม่เหนื่อยไปข้าง แต่มันก็เป็นสัญญาณที่ดี ที่ลูกรู้จักถามนะคะ
- “ฝนมาจากไหน” , “น้องร้องไห้เพราะอะไร” , “ทำไมต้องกินข้าว” คำถามต่างๆ ที่ลูกถาม คุณพ่อคุณแม่ต้องตั้งใจตอบ พยายามให้คำตอบที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน
- ไม่ใช้คำประชดประชันที่ทำให้เด็กไม่เข้าใจ เช่น “เตารีดคืออะไร” ที่รีดผ้าครับ ห้ามจับนะ มันร้อน” ลูกจะถามกลับทันที “จับได้มั้ย” หรือ “ทำไมมันร้อน”
- เมื่อเราเริ่มตอบคำถามบ่อยๆ วนเวียนๆ เราอาจจะเกิดอารมณ์โมโห อาจเผลอหลุดปากไปว่า “เตารีดร้อน ไม่เชื่อลองจับดู” แบบนี้ เด็กจะไม่เข้าใจว่าเราประชด ดังนั้น เพราะพ่อแม่ต้องตั้งสติค่ะ อย่าให้อารมณ์เราไปขัดพัฒนาการตามวัยเขา
สอนโดยให้ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 จะช่วยเรียนรู้ได้ดี
การสอนให้ลูกมีประสบการณ์ตรง สามารถปรับให้เหมาะกับวัยได้ เช่น จับมือเขาไปอังแบบมีระยะปลอดภัย และบอกว่าร้อนคือแบบนี้ ถ้าจับตรงๆ จะร้อนมาก คุณแม่สามารถสามารถทำท่าจับใกล้ๆ แล้วทำท่าร้อน เจ็บมือ แบบสมจริง “ถ้าจับโดน จะเจ็บมาก ต้องทายาหรือไปหาหมอ” เราอาจพาลูกไปสัมผัสสิ่งต่างๆ เช่น “น้ำนะคะ //มันเย็นๆนะ// มันอุ่นๆนะ// หรือจับน้ำไม่ได้เลย” แล้วแต่ว่าลูกอยู่วัยไหน ควรสอนเรื่องอะไร
เด็กน้อยวัย 6 เดือน เราก็สามารถสอนได้ พาไปสัมผัสพื้นผนังปูน ผนังไม้ พื้นหญ้า แล้วบอกว่าคืออะไร จับแล้วเป็นไง ใส่ประสบการณ์และคลังคำต่างๆ ให้ลูก อย่างเป็นลำดับบ่อยๆ จะช่วยเรียบเรียงความคิดลูกได้ดียิ่งขึ้น
พูด สอน อธิบาย สอนมากสอนน้อย ดีกว่าไม่สอนเลย
บางครั้งเราอาจจะคิดว่าลูกยังเล็กเกินไป สอนไปก็ไม่เข้าใจ พูดไปก็ยังไม่รู้เรื่อง ซึ่งในความจริงแล้ว ไม่เป็นไรเลยที่จะลองสอนตอนที่เขายังเล็ก เราต้องพยายามพูดกับลูก เพื่อเติมคลังข้อมูลให้เขา โดยวิธีสอนนั้น ทำตามได้ดังนี้
- พยายามใช้คำง่ายๆ อธิบายแบบไม่ซับซ้อน
- เลือกคำที่ใกล้เคียง, เห็นภาพ, รู้สึกได้ จะช่วยให้ลูกเข้าใจ และเก็บลงไปในคลังคำของเขาได้
- พูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติ สอน และอธิบาย เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้ไปด้วย ช่วยให้ลูกได้ฝึกคิด ฝึกถาม และช่วยให้เข้าใจการสื่อสารระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก
- เมื่อลูกเริ่มจับทิศทาง, เริ่มคุ้นเคย เขาก็จะรู้จักที่จะเข้าใจคนอื่น เรีบนรู้ว่าผู้อื่นรู้สึกอย่างไร
ไม่รู้จะสอนอย่างไร เอานิทานมาช่วยได้
หนังสือนิทาน เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีมากๆ ช่วยให้เด็กมีคลังคำ และเมื่อเจอประสบการณ์จริง ให้เราเชื่อมโยงสิ่งที่เห็นนั้นกับนิทานของเขา จะช่วยให้ลูกเข้าใจ และเชื่อมโยงเป็นด้วย ทั้งนี้ นิทานนั้น เป็นการเล่าแบบมีลำดับความคิด มีการปูเรื่อง มีการผูกปัญหาหรือคลายปัญหา มีสาเหตุ มีผลปลายทางของเรื่องชัดเจน ช่วยฝึกคิดให้เป็นระบบได้อย่างเป็นธรรมชาติ
และนอกจากช่วยฝึกการคิดแล้ว นิทานยังมีการอธิบายด้วยคำภาษาง่ายๆ ดังนั้น เมื่อเรานำคำเหล่านั้นมาใช้ ลูกก็จะยิ่งเข้าใจและสนุกกับประสบการณ์ที่เจอ แถมยังปลูกฝังการรักการอ่านด้วย เพราะตื่นเต้นสิ่งที่อยู่ในหนังสือ มาเป็นประสบการณ์จริงได้
เวลาทำอะไรในชีวิตประจำวัน พยายามให้ทำด้วยตนเอง ตามวัยของเขา
การเรียนรู้ทักษะวิชาการก็เป็นสิ่งที่ดี แต่จะดียิ่งกว่าถ้าลูกของเราสามารถเรียนรู้ เข้าใจเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวันได้ตั้งแต่ยังเล็กๆ และสามารถเอาตัวรอดได้, การสอนให้แก้ไขปัญหา ในสิ่งที่ทำไม่ได้ ด้วยการพาเขาก้าวไปทีละขั้นตอน แรกๆ คือ การชี้นำ เมื่อฝึกบ่อยๆ เด็กจะเริ่มคิดเองเป็น เราต้องไม่กลัวที่ลูกจะทำอะไรด้วยตนเองได้ เพราะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น เราก็อยากให้เขาจะเอาตัวรอดเองได้ ยิ่งแก้ปัญหาได้ต่อหน้าเรา ก็ยิ่งอุ่นใจค่ะ
อย่าเบื่อหน่ายที่จะสอนหรือปูพื้นฐานให้ลูก เพราะเผลอแป๊บเดียวเขาก็โตแล้วค่ะ ทุกสิ่งที่ทำ เราเพียงหวังว่าจะช่วยให้เขาเติบโต รู้จักตัวเองเพื่อวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเผชิญกับสิ่งต่างๆ เขาจะคิดเป็น…
เมื่อคิดเป็น แม่ก็หวังว่า ลูกจะใช้ชีวิตเป็น และมีความสุขกับชีวิตจริงๆ