การเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงไหมคะ คุณพ่อคุณแม่ทุกคนต่างก็อยากจะให้ลูกของเราเป็นที่รักของทุกคน ซึ่งการเลี้ยงลูกในบางครั้ง เราก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าสิ่งที่เราทำให้ลูกนั้นเป็นความรักหรือ เป็นการทำร้ายลูกโดยไม่รู้ตัวกันแน่
เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่า คุณพ่อคุณแม่แบบไหนที่สปอยล์ลูกเกินไป และหากสปอยล์ลูกแล้ว เด็กๆ จะมีพฤติกรรมอย่างไรกันบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ
4 นิสัย “การสปอยล์” ของพ่อแม่ที่ไม่ควรทำ
-
ไม่ให้ลูกหยิบจับงานบ้านแม้แต่นิดเดียว
พ่อแม่สมัยนี้มักจะคิดว่า ลูกมีหน้าที่เรียนอย่างเดียวก็พอ และส่วนใหญ่แต่ละบ้านก็มักจะมีพี่เลี้ยง หรือแม่บ้านที่คอยช่วยดูแลบ้านอยู่แล้ว จึงทำให้ลูกไม่เคยได้หยิบจับงานบ้านเลย แม้แต่งานเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม แต่คุณพ่อคุณแม่รู้ไหมว่า การที่มอบหมายงานเล็กๆ น้อยๆ ให้เขา ก็เหมือนกับการฝึกทักษะในการใช้ชีวิตและฝึกความรับผิดชอบไปในตัวให้ลูกได้เหมือนกันนะคะ
-
ลูกอยากได้ก็ให้ได้เสมอ
เด็กๆ ส่วนใหญ่เวลาออกไปข้างนอก พอเห็นขอหรือสิ่งที่อยากได้ที่ถูกใจ ก็มักจะงอแง อยากได้โน้นนี่เสมอ พ่อแม่ก็มักจะใจอ่อนและยอมแพ้ทุกครั้งเมื่อลูกร้องไห้ เพื่อตัดปัญหาไป แต่รู้ไหมว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นไม่ได้เป็นผลดีกับตัวเด็กเลย เพราะคุณพ่อคุณแม่ตามใจลูกมากเกินไปนั้นเองค่ะ ทำให้ลูกกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจในที่สุด
-
มีรางวัลเป็นสินบนให้ลูกถ้าเขาทำได้
การให้รางวัลกับลูก เมื่อลูกทำได้ หรือทำสำเร็จก็เป็นสิ่งที่ดีนะคะ เพราะจะทำให้ลูกมีกำลังใจในการทำสิ่งๆ นั้นต่อไปได้ แต่บางครั้งการให้รางวัลแบบพร่ำเพื่อ เวลาที่ลูกไม่ทำตาม เช่น ” ถ้าลูกกินข้าว เดี๋ยวแม่จะให้ดูการ์ตูน” เป็นต้น เมื่อเขาทำได้ ก็ให้รางวัล หากทำบ่อยๆ เช่นนี้ ลูกก็จะชินกับการที่ทำแล้ว เขาจะได้รางวับ หากวันใดวันหนึ่งเราไม่มีสินบนหรือรางวัลให้เขา เขาก็จะไม่เชื่อฟังนั้นเองค่ะ และในที่สุดลูกก็จะไม่มีความภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำ เพราะเพียงแต่ทำเพื่อรางวัลหรือสิ่งตอบแทนที่จะได้มาค่ะ
-
ไม่ทำโทษ กลัวลูกร้องไห้
การทำโทษในสมัยนี้อาจจะฟังดูไม่เข้าท่า หรือล้าสมัย แต่การทำโทษในที่นี้ ก็คือการทำโทษอย่างเหมาะสมค่ะ อาจจะเป็นการปรับเปลี่ยนทัศนคติของลูก หรือพฤติกรรมของเขา อธิบายด้วยเหตุผลให้เขาเข้าใจ เช่น “ลูกพูดคำหยาบคายใส่เพื่อน” เราต้องบอกและอธิบายให้เขาทำในสิ่งที่ถูก นั้นก็คือ ” อย่าทำแบบนั้นสิลู พูดกับเพื่อนดีๆ ทำแบบนี้ไม่น่ารักเลยค่ะ” เมื่ออธิบายให้ลูกฟังแล้ว แต่ก็ยังปล่อยให้ลูกทำเรื่อยๆ นี่แหละค่ะคือการไม่ปรับพฤติกรรมอย่างจริงจัง จนในที่สุดลูกก็จะกลายเป็นเด็กดื้อ เอาแต่ใจค่ะ
หากคุณพ่อคุณแม่ทำพฤติกรรมอย่างข้างต้น ก็จะทำให้ลูกกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจในที่สุด เรามาลองดูกันว่า
คำพูดไหนของลูก ที่สามารถรู้ได้ว่า “เราเลี้ยงลูกแบบสปอยล์เกินไป” ไปดูกันเลย
-
หนูจะเอาอันนี้!
หากลูกพูดคำนี้ นั้นก็หมายความว่า คุณพ่อคุณแม่ให้ทุกอย่างที่เขาอยากได้ ร้องไห้นิดหน่อย ก็ใจอ่อนให้เขามาโดยตลอด ทำให้ลูกไม่มีความอดทน อดกลั้น และจะร้องไห้ โวยวาย ลงไปนอนดิ้นกับพื้น เพื่อเรียกร้องความสนใจ จะเอาให้ได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องใจแข็ง อดทน และปฏิเสธลูกบ้าง และสอนให้เขารู้จักรอคอย และอธิบายเหตุผลที่ต้องปฏิเสธลูก และบอกให้เขารู้ว่าพฤติกรรมที่เขาทำนั้นไม่ได้ผล
-
ไม่เอา ! ไม่ทำ!
เพราะคุณพ่อคุณแม่ทำทุกอย่างให้เขาไปซะทุกอย่าง จนทำให้ลูกรู้สึกว่า ไม่เห็นต้องทำเลย เพราะพ่อแม่ก็ทำให้เขาอยู่ดี จนติดตัวเป็นนิสัยขี้เกียจ ไม่อยากทำอะไรเลยสักอย่าง เพราะฉะนั้นบางเรื่อง คุณพ่อคุณแม่เองก็อาจจะหัดให้เขาทำเองบ้าง อย่างเช่นง่ายๆ เลย งานบ้านค่ะ อาจจะฝึกให้เขาทำตั้งแต่เล็ก เป็นงานเบาๆ ที่ทำได้ตามช่วงวัยก่อน หรือการเก็บของเล่นเมื่อเล่นเสร็จแล้ว เท่านี้ก็จะทำให้เขารู้ว่าต้องทำอะไรบ้างค่ะ
-
พ่อก็ทำเองสิ
ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีคุณพ่อคุณแม่แหละค่ะ ที่คอยตามเก็บตามกวาด จนบางครั้งเด็กๆ ก็ติดเป็นิสัย ลูกก็อาจจะคิดว่าไม่เห็นต้องทำอะไร หรือรับผิดชอบอะไรเลย ในเมื่อก็มีพ่อแม่คอยช่วยเหลือและแก้ปัญหาให้อยู่ตลอดๆ เมื่อมีปัญหาเราก็ไม่ต้องทำก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องสอนให้เขารู้จักรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำ รู้จักช่วยเหลือตัวเองให้ได้ เพราะพ่อแม่ไม่ได้อยู่กับลูกตลอดเวลาเช่นกันค่ะ
-
หนูอยากได้แบบเพื่อน
ความอยากได้ อยากมี เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กๆ บางครั้งเขาก็งอแงซะจนคุณพ่อคุณแม่ทนไม่ไหว ยอมใจอ่อน และให้ทุกอย่าง อย่างที่เขาต้องการ เพราะฉะนั้นพ่อแม่ก็ควรจะสอนให้เขารู้ว่า เราไม่สามารถอยากได้ทุกอย่างนะลูก และเราก็ไม่จำเป็นต้องมีทุกอย่างแบบเพื่อนเสมอไป เราต้องอยู่อย่างพอดีและเหมาะกับเรา และสอนให้เขารู้จักคุณค่าของเงินก็อาจจะช่วยได้นะคะ
-
ถ้าหนู … ต้องพาหนูไปเที่ยวนะ
เมื่อไหร่ที่คุณพ่อคุณแม่อยากให้เขาทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ลูกลับมีข้อแลกเปลี่ยนกลับมาก่อนที่จะทำตามที่เราบอก จนบางครั้ง เราก็ต้องมีการออกคำสั่งให้เขาทำตาม และสิ่งที่ได้มาคือ เสียงร้องโวยวาย และการดื้อ เพื่อที่จะได้ข้อแลกเปลี่ยนนั้นมา หากคุณพ่อคุณแม่บางคนยอมใจอ่อน เพื่อไม่ให้ลูกโวยวาย ครั้งต่อไปเขาก็จะจำได้ว่าเราทำแบบนั้นกับเขา และเขาก็จะทำเช่นนั้นอีก เพราะเขารู้ว่าถ้าร้องไห้โวยวายแล้ว พ่อแม่ก็จะใจอ่อน และยอมให้เขานั้นเองค่ะ เพราะฉะนั้นบางครั้ง คุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องอดทน เพื่อที่จะสอนให้ลูกรู้ว่าควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร
-
ทีพี่ยังทำเลย
เวลาที่เด็กๆ ถูกดุด่า หรือว่า จากการกระทำของลูกเอง คุณพ่อคุณแม่ก็บอกลูกแล้ว แต่เขาก็ยังกลับหาข้ออ้างต่างๆ นาๆ หรือบอกว่าคนโน้นยังทำเลย คนนี้ยังทำได้เลย มาบอกเรา เพื่อให้เขาพ้นจากความประพฤติที่ไม่ถูกต้องนั้นเอง สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำก็คือ อธิบายให้เขาเข้าใจถึงสิ่งที่คุณดุด่า หรือตำหนิเขาว่า ที่พ่อแม่ด่าหรือว่าลูกเป็นเพราะอะไร หากลูกอยากอธิบายเราก็สอนให้เขาใช้การสื่อสารและคำพูดที่ถูกต้อง แทนการปฏิเสธการกระทำของตนเองค่ะ
คุณพ่อคุณแม่ทุกคนก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะอยากสปอยล์ลูกกันหรอกค่ะ แต่บางครั้งด้วยความที่เรารักลูกจนมากเกินไป และตามใจเขาตลอด ทำให้เขากลายเป็นเด็กดื้อไปเสียแล้ว แต่ไม่เป็นไรนะคะ ปัญหาก็ต้องมีทางออกเสมอ ยังไงคุณพ่อคุณแม่ก็ค่อยๆ ปรับตัวในสิ่งที่ผิดพลาดและพร้อมแก้ไขกับมันอย่างค่อยเป็นค่อยไปยังไงล่ะคะ และอย่าลืมว่าบางครั้งเราก็ต้องขัดใจลูกกันบ้าง อย่าไปยอมให้เขาเอาแต่ใจตัวเองจนกลายเป็นเด็กที่ถูกสปอยล์ไปยังไงล่ะ เลี้ยงเขาด้วยความรักอย่างถูกวิธี เพียงเท่านี้เด็กๆ ก็จะกลายเป็นเด็กที่น่ารักแล้วค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : gedgoodlife, Line today , amarinbabyandkids