อยากทำประกันชีวิตให้ลูกน้อย แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกเเบบไหนดี เพราะมีกรมธรรม์ให้เลือกเยอะไปหมด เเต่ละบริษัทก็ต่างมีเงื่อนไข ผลประโยขน์ที่เเตกต่างกัน มาดูกันว่าจะเลือกซื้อประกันเเบบไหนดีถึงจะคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปมากที่สุดกันนะ
การเลือกซื้อประกันใให้คุ้มค่าที่สุด ควรเลือกตามเรื่องเหล่านี้ในแบบเบื้องต้น
- เลือกบริษัท เช่น จากความมั่นคง ความน่าเชื่อถือ ชื่อเสียง
- เลือกแบบประกัน ตามความต้องการ
- เลือกวงเงินชำระเบี้ยประกันภัย (ตามความสามารถที่เก็บออมได้)
- เลือกการชำระเบี้ยประกัน รายปี รายสามเดือน หกเดือน รายเดือน
- ช่องทางที่สะดวกในการชำระเบี้ย
- โรงพยาบาลที่สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลได้หรือโรงพยาบาลเครือข่าย แต่ละบริษัทจะไม่เหมือนกัน
- ความสะดวกในการรับบริการ
- การบริการหลังการขาย
ขอยกตัวอย่างการทำประกันชีวิตสำหรับเด็ก
ประกันแบบออมเงิน (เพื่อทุนการศึกษา)
ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์เพื่อเก็บไว้เป็นทุนการศึกษาให้ลูกในอนาคต เเต่ละบริษัทจะมีให้เลือกหลายแบบ แล้วแต่ความต้องการของลูกเรา เช่น
บริษัท A มีแผนหลักประกันเพื่อทุนการศึกษา ที่เริ่มได้เมื่อเด็กมีอายุตั้งเเต่ 15 วัน ส่งเงินประกันปีละครึ่งเป็นเวลา 10 ปี ระหว่างปีที่ 1-19 ได้รับเงินปีละ 10% ของเงินเอาประกัน สิ้นปีที่ 20 ได้รับเงินเอาประกันคืน 100% เเละหากเสียชีวิตระหว่างปีที่ 1-19 ยังจะได้รับเงินก้อนเท่ากับทุนประกัน(จำนวนเงินที่เลือกรับสูงสุด) อีกด้วย (สามารถจ่ายเงินประกันได้แบบรายปี, ราย 6 เดือน, ราย 3 เดือน, รายเดือน)
ประกันแบบสุขภาพ
ส่วนใหญ่จะเน้นเพื่อสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล ก็จะเน้น เรื่อง การเคลม การเบิกจ่าย ความสะดวกรวดเร็วในการบริการ เมื่อใช้บริการกับทางโรงพยาบาลเเล้วไม่มีปัญหาจุกจิก ตอนลูกเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งการเลือกประกันสุขภาพส่วนใหญ่จะดูจาก
1. ความครอบคลุมของโรคตอนเจ็บป่วย
ถ้าลูกเจ็บป่วยต้องนอนโรงพยาบาลมีประกันจ่ายแทน เเละคุณพ่อคุณเเม่ควรดูรายละเอียดของรายการเบิกจ่ายแต่ละโรค เพราะถึงเเม้จะมีความครอบคลุมในหลายโรคก็จริง เเต่จำนวนเงินก็จะเเตกต่างกัน เช่น โรค A เบิกได้สูงสุด 100,000 บาท, โรค B เบิกได้สูงสุด 200,000 บาท เป็นต้น
2. ค่าห้อง ค่ารักษาพยาบาล
การทำประกันชีวิตที่ดีไม่ควรเลือกที่เบี้ยประกันถูกเพียงอย่างเดียว เพราะเบี้ยประกันที่ต่างกันหมายถึงค่าห้อง, ค่ารักษาพยาบาล, ค่าอาหาร, ค่าบริการประจำวันเมื่อเข้ารักษาในโรงพยาบาล เเละค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ต่างกันด้วย เนื่องจากแต่ละสถานพยาบาลจะมีอัตราค่ารักษาพยาบาลเหล่านี้แตกต่างกัน
3.การคุ้มครอง
ค่ารักษาพยาบาลจะขึ้นอยู่กับวงเงินคุ้มครองในแบบที่คุณเลือกให้กับลูกน้อย เเต่ต้องดูข้อยกเว้นที่ไม่สามารถ เบิกได้ เช่น การเจ็บป่วยที่มีมาก่อนการทำสัญญา การตรวจหรือผ่าตัดเมื่อเสริมสาย
4.เงื่อนไขเรื่องตรวจสุขภาพ
แบบประกันสุขภาพสำหรับเด็กจะต้องตรวจสุขภาพหรือไม่ จะอยู่ที่เงื่อนไขเเละข้อกำหนดของแต่ละบริษัท ส่วนใหญ่พิจารณาจาก แบบประกันและความคุ้มครอง ยิ่งซื้อด้วยทุนประกันที่สูงและเบี้ยประกันสูงๆ ยิ่งมีโอกาสต้องตรวจสุขภาพสูงแต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเลือแบบที่ต้องการ
5. การบริการหลังการขาย
อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญมากคือบริการหลังการขาย ซึ่งมาจากตัวเเทนประกันชีวิตที่เราเลือกทำสัญญา เเละบริษัทที่เลือกทำประกันด้วย บางบริษัทอาจมีสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าของตัวเอง เช่น Gift Vouchers สำหรับลูกค้า, ของขวัญวันเกิด, บริการตรวจสุขภาพ นอกจากนั้นยังขึ้นอยู่กับตัวเเทนที่เราซื้อประกันชีวิตด้วยว่ามีการสร้างสิทธิพิเศษอะไรให้กับลูกค้าของตัวเองบ้าง เช่น บางรายมีกิจกรรมเหมาโรงภาพยนต์ไว้สำหรับลูกค้าชมภาพยนต์เดือนละ 1 ครั้ง, ละ 1 ครั้ง, จัดทริปท่องเที่ยวต่างประเทศสำหรับลูกค้าพิเศษที่ทำประกันเป็นวงเงินสูงๆ
กรมธรรม์ประกันชีวิตสำหรับเด็กค่อนข้างจะมีเบี้ยประกันที่สูง เพราะถ้าพิจารณาถึงอายุ ความแข็งแรงของสุขภาพ จะเห็นว่าเด็กเกิดโรคได้ง่าย มีความเสี่ยงในการเกิดอันตรายต่างๆได้สูง เพราะยังไม่สามารถปกป้องตนเองจากอันตรายได้ เเละถ้าเด็กมีอายุน้อยเท่าไหร่เบี้ยประกันก็จะยิ่งสูง เมื่อเทียบกับเด็กที่มีอายุมากกว่าในทุนประกันที่เท่ากัน เนื่องจากบริษัทประกันต้องรับความเสี่ยงสูงในการทำประกันชีวิตสำหรับเด็ก ส่วนเงื่อนไขว่าจะรับทำประกันตั้งเเต่อายุเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเเต่ละบริษัท บางบริษัทอาจเริ่มรับทำตั้งเเต่เด็กอายยุ 1 วันเลย
นอกจากนี้การทำประกันให้เด็กยังมีข้อดีอีกอย่าง คือคุณพ่อคุณแม่ที่ซื้อกรมธรรม์ให้กับลูกสามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมได้ด้วย เช่น หากเมื่อผู้ปกครองจากไปก่อนจะหมดสัญญา บริษัทประกันจะจ่ายเบี้ยประกันภัยต่อให้กับกรมธรรม์ของลูก (จ่ายเเทนพ่อเเม่ที่จากไป) เเละยังคงผลประโยชน์เหมือนเดิม นอกจากนี้ก็มีคุณพ่อคุณเเม่จำนวนมากเช่นกันที่ทำประกันให้ลูกตั้งเเต่วันเเรกที่เกิด ส่งเบี้ยประกันไปเรื่อยๆ พร้อมกับช่วงเวลาที่ลูกโตจนครบเวลาชำระเบี้ยประกัน (บางรายซื้อกรมธรรม์ระยะยาว 15 ปี, 20 ปี) เปรียบเหมือนการซื้อของขวัญวันเกิดล่วงลูกล่วงหน้า
ถึงเเม้สังคมไทยบางส่วนจะมองว่าการทำประกันชีวิตเป็นเรื่องสิ้นเปลือง เเต่ความจริงเเล้วการทำประกันชีวิตก็ถือว่าเป็นสิ่งดี ไม่ว่าจะเลือกทำให้ลูกหรือทำให้ตัวเองก็ตาม เพราะเป็นการประกันความเสี่ยงที่เราไม่มีวันรู้ในอนาคต เเละหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หรือพ่อเเม่จากไป ก็ยังคงเหลือเงินก้อนให้ลูกไว้ใช้ต่อเป็นเหมือนทิ้งความรัก ความห่วงใยไว้แบบสัมผัสได้ เพียงเเค่ควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจ เเละเลือกแบบประกันที่ดี มีความเหมาะสมกับลูกที่สุดนะคะ 😀