ตอนเด็กๆ เรามักจะได้ยินผู้ใหญ่พูดเสมอเวลาที่เราดื้อไม่ยอมทำตามคำสั่ง เช่น ดื้อดีนักเดี๋ยวให้หมอจับฉีดยาเลย หรือระวังผีหลอกนะ จนตอนนี้โตขึ้นมาเราก็ยังใช้วิธีนี้หลอกเด็ก ลูกๆ หลานๆ กันต่อมา
ซึ่งรู้หรือไม่ว่าการหลอกลูก หรือขู่ให้เขากลัวนนั้นเป็นวิธีที่ผิด และความกลัวก็จะติดตัวเขามาจนโตจนแก้ไม่หาย งั้นเรามาดูวิธีการที่ถูกต้องกันดีกว่าหากเด็กๆ ไม่ยอมทำตามต้องทำอย่างไร
คำพูดที่พบบ่อยในการหลอกเด็ก
- ” ดื้อแบบนี้เดี๋ยวให้หมอฉีดยาเลยนะ “ : เป็นประโยคที่เราได้ยินบ่อยๆ เมื่อเวลาที่เด็กงอแง ไม่ยอมเชื่อฟัง คุณพ่อคุณแม่มักจะพูดประโยคนี้ เมื่อใดก็ตามที่เด็กๆ มาหาหมอจริงๆ เขาก็จะกลัวโดยทันที เพราะเขาจะคิดว่าการที่เขาถูกฉีดยา คือการลงโทษ เด็ๆ จะต่อต้านอย่างมากเวลาที่ต้องถูกฉีดยาหรือวัคซีนจริงๆ
- ” เดี๋ยวให้ตำรวจมาจับเลยดีไหม “ : บอกได้เลยว่าเด็กๆ จะกลัวอย่างสุดหัวใจเลยเมื่อได้ยินประโยคนี้ เขาจะมีอาการหวาดกลัว เหงื่อออก สับสน ทำตัวไม่ถูก หรือบางทีก็เกิดอาละวาดหนักขึ้นได้ค่ะ
- ” เดี๋ยวพ่อกับแม่ไม่รักแล้วนะ “ : ประโยคนี้ก็ไม่แพ้กันเลยค่ะ เพราะเด็กๆ มักจะเข้าใจเสมอว่า ไม่ว่ายังไงหรือทำอะไรมาผิดหนักหนา เขาก็ยังมีคุณพ่อคุณแม่ที่รักเขามากที่สุด และตามใจเขามากที่สุด แต่เมื่อใดที่คุณพ่อคุณแม่เอาเรื่องความรักมาต่อรอง และเขารักคุณหมดหัวใจ เด็กๆ จะรู้สึกแย่มากๆ และเขาจะรู้สึกว่าไม่เหลือใครแล้ว ดังนั้นห้ามหลุดคำๆ นี้ออกมาเลยเด็ดขาดนะคะ ฝืนใจตัวเองเข้าใจค่ะ
- ” ระวังผีมาหลอกนะ “ : เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หลายคนเคยพลั้งเผลอพูดจาแบบนี้ออกมาอย่างแน่นอน และการพลั่งพูดประโยคนี้ออกมา เด็กๆ ผู้มีจินตนาการมากล้น เขาก็จะคิดตามในสิ่งที่เราพูด จนทำให้เกิดความกลัว และเมื่อโตขึ้นไป ความกลัวเหล่านี้ก็จะสร้างอุปสรรคให้กับเขาในอนาคตอีกด้วย เช่น ลูกจะไม่ยอมเข้านอนเพราะกลัวผี หรือ การที่เขาไม่ยอมอาบน้ำก่อนหัวค่ำ เป็นต้น และเหล่านี้จะทำให้เด็กๆ เป็นคนกล้าๆ กลัวๆ ครึ่งๆ กลางๆ เป็นคนขี้หวาดระแวงไปซะทุกเรื่อง
ผลกระทบต่อเด็ก
- ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางด้านอารมณ์และจิตใจโดยตรง
- เด็กจะรู้สึกหวาดกลัวหลายเท่ากว่าผู้ใหญ่ และจะจดจำความกลัวนั้นอย่างฝั่งใจ
- เสียบุคลิกภาพ ดูเป็นคนขี้ระแวงจนเกินไป
- ในอนาคตความกลัวนี้ก็จะติดจนกระทั่งโต และโตมาเป็นผู้ใหญ๋ที่กลัวในสิ่งที่ไม่น่ากลัว
- หากรุนแรงเกินไป อาจทำให้เด็กเกิดความเครียด เนื่องจากความกลัว เช่น นอนไม่หลับในเวลากลางคืน หัวใจเต้นเร็วเนื่องจากจินตนาการไปต่างๆ นานา
คุณพ่อคุณแม่ต้องทำอย่างไร จึงจะถูกต้อง
ยังไม่สายเกินไปนะคะ หากคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่เคยขู่หรือหลอกลูกไปแล้ว เรายังสามารถปรับพฤติกรรมและสร้างความคิดใหม่ๆ ให้กับลูกได้ไม่สายเกินไปค่ะ มาดูกันเลยว่ามีวิธีไหนบ้าง
-
ตั้งสติก่อนพูด
เด็กยังไงก็คือเด็ก ทุกครั้งที่เราไม่ไหวแล้วจริงๆ หรือลูกทำในสิ่งที่เกินไป เราต้องตั้งสติให้มากๆ ให้คิดเสมอว่าถ้าเราพูดไปแบบนั้น แล้วมีผลยังไงกับลูกได้บ้าง ไม่คิดเพียงแค่ว่าให้เขาหยุดพฤติกรรมที่เราไม่ชอบให้จบๆ ไป หากอยากให้ลูกได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุมีผล เราต้องคอยเตือนสติตัวเองอยู่เสมอว่าจะว่าหรือบอกลูกยังไงให้ถูกนะคะ มิเช่นนั้นจะกลายเป็นเด็กที่โตเป็นแล้วกลัวไปหมดซะทุกอย่างเลยค่ะ
-
อธิบายให้เข้าใจถึงเหตุและผล
คุณพ่อคุณแม่ต้องสอนเขาด้วยความเข้าใจและใจเย็น เช่น เมื่อถึงเวลานอนแล้วเขาไม่ยอมเข้านอน แทนที่เราจะพูดกับลูกว่า “ไม่รีบนอนเดี๋ยวผีมาหลอกนะ” ให้เราเปลี่ยนวิธีการใหม่เป็น ” ลูกต้องรีบนอนได้แล้วนะคะ เพราะพรุ่งนี้เราต้องตื่นไปโรงเรียนแต่เช้าจะได้ทันเวลา ” เป็นต้น เขาก็อาจจะงอแง มีท่าทีเล่นตัวสักหน่อย เราก็ชวนลูกเข้านอนพร้อมกับเราไปเลยก็ยังได้ค่ะ
-
พ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ไม่กลัวอย่างไร้เหตุผล
เด็กๆ มักจะมีการเลียนแบบพฤติกรรมต่างๆ จากผู้ใหญ่หรือคนใกล้ตัวเสมอ โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ และการเป็นตัวอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิตก็เป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยให้เขาได้ซึมซับและเรียนรู้จากเราได้อย่างมาก ยิ่งถ้าเราเป็นคนมีเหตุผล บอกว่าสิ่งนี้ดีหรือไม่ดีเพราะอะไร อะไรที่ต้องกลัวและอะไรที่ไม่ต้องกลัวเพราะอะไร เช่น เมื่อพูดถึงเรื่องงูกับผี เราก็ต้องคุยกับลูกว่าเราควรกลัวงูมากกว่าผีนะลูก เพราะงูเป็นสัตว์ที่มีพิษมันอาจจะทำร้ายเราถึงชีวิตได้ ส่วนผีนั้นเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีจริงหรือไม่มีจริงนะลูก แต่ถึงจะมีจริงก็ไม่มีเหตุอะไรที่เขาจะมาทำร้ายเรานะคะ เป็นต้น
-
หากคนในบ้านหลอกลูกให้กลัว ควรแก้ไขความเข้าใจผิดนั้น
ในเมื่อเราแก้ไขสิ่งต่างๆ ไปในทางที่ถูกต้องแล้ว คนในบ้านก็ต้องทำเช่นนั้นด้วยนะคะ ไม่ใช่ว่าพอกลับไปถึงบ้านก็ยังมีคุณปู่ คุณย่า ที่ยังหลอกเด็กๆ อยู่ คุณพ่อคุณแม่เองต้องเป็นคนอธิบายให้ท่านฟังว่า เหตุใดควรหลอกหรือไม่ควรหลอก แก้ไขความเข้าใจผิดให้หมดไป แล้วปรับมาเป็นการใช้เหตุและผลแทนการหลอกลูกแทนค่ะ
หากอยากให้ลูกเป็นเด็กที่เติบโตมาแล้วเป็นคนสมเหตุสมผลแล้วละก็ คุณพ่อคุณแม่เองต้องคอยดูแลและใช้เหตุผล และข้อมูลที่ถูกต้องในการสอนเด็กๆ นะคะ เขาจะได้พัฒนาการทางด้านจิตใจและอารมณ์ที่ดี และเป็นคนมีเหตุมีผล เมื่อเขาเติบโตไปนั้นเองค่ะ มาค่ะมาช่วยกันปลูกฝังนิสัยให้เด็กๆ เลิกกลัวในสิ่งที่ไม่น่ากลัวกันเสียทีนะคะคุณพ่อคุณแม่
ขอบคุณข้อมูลจาก : Dad Mom and Kids, rakluke, women.mthai, นิตยสาร Modern Mom