องค์การอนามัยโลก (WHO) ประมาณการว่า จะพบเด็กทั่วโลกเสียชีวิตจากการติดเชื้อ RSV ถึงปีละ 160,000 ราย โดยมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีทั่วโลก ติดเชื้อไวรัสดังกล่าว 33.8 ล้านคน จำนวนนี้ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลถึง 3.4 ล้านคน
โดยในปีที่แล้วจากข้อมูลการเฝ้าระวังโรคย้อนหลังของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบผู้ป่วยที่มีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 9 แห่ง จำนวน 968 คน ติดเชื้อ RSV 115 คน คิดเป็นร้อยละ 11.88 ซึ่งเชื้อดังกล่าว มีการระบาดเร็วกว่าเดิม คือ เริ่มตั้งแต่ ก.ค. และในช่วงฤดูกาลระบาด มีจำนวนผู้ป่วยสูงกว่าปีที่ผ่านมาเฉลี่ยร้อยละ 30.26
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ช่วงฤดูฝนมักพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ จากเชื้อไวรัสอาร์เอสวี (Respiratory Syncytial Virus: RSV) ที่ติดได้ง่ายเหมือนไข้หวัด และพบว่าอาการจะรุนแรงในเด็กเล็ก เด็กที่คลอดก่อนกำหนด และกลุ่มผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคปอด โรคหัวใจ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันร่างกายผิดปกติ
อาการโดยทั่วไปอาจจะเหมือนไข้หวัดธรรมดา แต่อาการจำเพาะของเชื้อนี้ที่มักพบในเด็กเล็ก คือ หลอดลมฝอยอักเสบ โดยเริ่มแรกจะมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น ไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ จนถึงอาการรุนแรง เช่น หายใจหอบเหนื่อย อกบุ๋ม ได้ยินเสียงปอดผิดปกติ เสียงหายใจดังวีด รับประทานอาหารได้น้อย และซึมลง ซึ่งการรักษาส่วนใหญ่เป็นการรักษาตามอาการเพราะยังไม่มีวัคซีนป้องกัน
ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ลูกได้รับเชื้อไวรัส RSV จึงควรปฏิบัติดังนี้
1.ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาด ควรสอนให้เด็กๆ ล้างมืออย่างถูกต้อง และรักษาสุขอนามัยส่วนตัว
2.หลีกเลี่ยงการไปสถานที่ที่ผู้คนหนาแน่น ไม่ควรพาเด็กไปเล่นในที่ที่มีเด็กเล่นอยู่ด้วยกันจำนวนมาก
3.หลีกเลี่ยงการสัมผัสควันบุหรี่ เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการรุนแรงในขณะที่มีการติดเชื้อ
4.ผู้ป่วยควรงดการออกนอกบ้านในช่วงที่ไม่สบาย เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่น และควรปิดปากปิดจมูกเวลาไอจาม
5.ทำความสะอาดบ้าน ของเล่นเด็กเป็นประจำ
6.รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ดื่มน้ำมากๆ
7.ให้เด็กพักผ่อนให้เพียงพอ
อ้างอิงจาก