เชื่อเลยค่ะว่าคุณแม่ๆ บางคน ที่มีสิทธิประกันสังคมอาจจะยังไม่ทราบว่า เราสามารถขอรับผลประโยชน์ตอบแทนกรณีคลอดบุตร และสงเคราะห์บุตรกันได้ด้วยนะคะ ซึ่งในปี 65 นี้ก็มีอัปเดตข้อมูลข่าวสารว่าเราสามารถขอสิทธิอะไรยังไงได้บ้าง และสามารถเบิกได้เท่าไหร่ วันนี้ Parents One จะมาแบ่งปันข้อมูลดีๆ นี้พร้อมกันค่ะ ไปดูกันเลย
สิทธิประโยชน์ : ค่าคลอดบุตรประกันสังคม
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรับประโยชน์
- คุณแม่จะเบิกสิทธิประกันสังคมได้ ต้องจ่ายเงินสมทบประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน และภายใน 15 เดือน ก่อนการคลอดบุตร โดยกระกันสังคมจะจ่ายค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายในอัตรา 15,000 บาท
- คุณแม่มีสิทธิรับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร โดยเหมาจ่ายในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง เป็นเวลา 90 วัน (หากเป็นบุตรคนที่ 3 จะไม่ได้สิทธินี้)
- หากคุณแม่และพ่อ เป็นผู้ประกันตนประกันสังคมทั้งคู่ สามารถใช้สิทธิการเบิกคลอดบุตรของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยไม่จำกัดจำนวนบุตรและครั้ง
เอกสารที่ต้องเตรียม
- แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทน สปส. 2-01 (สามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ของประกันสังคม)
- สำเนาสูติบัตรบุตร 1 ชุด
- ในกรณีที่คุณพ่อ เป็นคนขอเบิกสิทธิ กรณีคลอดบุตร ให้แนบทะเบียนสมรส หากไม่ได้จดทะเบียนสมรส ให้แนบหนังสือรับรองของผู้ประกันตนมาแทน
- สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร ประเภทออมทรัพย์ หน้าแรก ซึ่งมีชื่อรับรองของผู้ยื่นคำขอ
- ยื่นเอกสารทั้งหมดได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร หรือสำนักงานประกันสังคมสังหวัด และสาขา ที่สะดวก ยกเว้นสำนักงานใหญ่บริเวณกระทรวงสาธารณสุข
- การพิจารณาสั่งจ่าย จะสั่งจ่ายเป็นเงินสด หรือโอนเข้าบัญชีธนาคารของผู้ขอรับประโยชน์ทดแทน ในกรณีที่ผู้มีสิทธิมาขอรับด้วยตัวเอง หรือมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมารับแทน จะจ่ายโดยการใช้เช็ค
สิทธิประโยชน์ : กรณีลาคลอด
- กฎหมายล่าสุดได้เพิ่มสิทธิ์ในการลาคลอดอีกเป็น 8 วัน รวมเป็น 98 วัน โดยจะนับวันลาคลอด และนับวันที่ลาเพื่อไปตรวจครรภ์ก่อนคลอดรวมอยู่ในสิทธิ์การลาคลอด 98 วันนี้ด้วย
- ในส่วนของค่าจ้างนั้นผู้ลาคลอดจะได้รับค่าจ้าง โดยนายจ้างจ่าย 45 วัน ประกันสังคมจ่าย 45 วัน ส่วนอีก 8 วันที่เหลือไม่ได้มีการระบุว่าใครจะต้องเป็นคนจ่าย ดังนั้น นายจ้างและประกันสังคมมีสิทธิ์ที่จะไม่จ่ายค่าจ้างในอีก 8 วันที่เพิ่มมาโดยไม่มีความผิด
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรับประโยชน์
- จ่ายค่าประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนคลอดบุตร
- ค่าสิทธิการลาคลอดใช้ได้เฉพาะฝ่ายหญิงเท่านั้น ฝ่ายชายไม่สามารถเบิกใช้ได้
- จ่ายให้ไม่เกินฐานเงินเดือน 15,000 บาท หากเงินเดือนมากกว่ากำหนด จะคิดแค่ 15,000 บาท
- มีสิทธิได้รับค่าคลอดบุตรโดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง
- มีระยะเวลาจ่ายเงินให้ทั้งหมด 90 วัน หรือ 3 เดือน นับรวมวันหยุดราชการ
- กรณีกลับมาทำงานก่อนถึง 90 วัน คุณแม่ยังคงได้รับเงินสงเคราะห์ตามปกติ
สิทธิประโยชน์ : ค่าฝากครรภ์
ประกันสังคมจะจ่ายค่าฝากครรภ์ให้คุณแม่โดยปรับเพิ่มค่าฝากครรภ์ 5 ครั้ง รวมเป็นเงิน 1,500 บาท (จากเดิม 3 ครั้ง 1,000 บาท) ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
- อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 500 บาท
- อายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 300 บาท
- อายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 28 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 300 บาท
- อายุครรภ์มากกว่า 28 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 32 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 200 บาท
- อายุครรภ์มากกว่า 32 สัปดาห์ ถึง 40 สัปดาห์ขึ้นไป จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 200 บาท
เอกสารที่ต้องเตรียม
- แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทน กองทุนประกันสังคม สปส. 2-01
- ใบเสร็จจากสถานพยาบาลที่เข้ารับการฝากครรภ์
- ใบรับรองแพทย์ หรือสามารถใช้สมุดบันทึกสุขภาพประจำตัวแม่และเด็ก ที่มีชื่อแม่ผู้ตั้งครรภ์และรายละเอียดการบันทึกตามแต่ละช่วงอายุครรภ์แทนได้
- หากคุณพ่อเป็นคนมาเบิกให้นำสำเนาทะเบียนสมรส หรือ หนังสือรับรองผู้ประกันตนกรณีไม่มีทะเบียนสมรสมาด้วย และหากแม่มาเบิกหลังคุณพ่อ ควรใส่เลขประจำตัวประชาชนของคุณพ่อเพื่อป้องกันการรับสิทธิ์ซ้ำ
สิทธิประโยชน์ : กรณีสงเคราะห์บุตร
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรับประโยชน์
- เป็นผู้ประกันสังคม ตามมาตรา 33 หรือมาตรา 39
- ต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือน ก่อนเดือนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน
- ประกันสังคมจะจ่ายเงินสงเคราะห์บุตรเดือนละ 800 บาท ต่อบุตรหนึ่งคน จะต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ยกเว้น บุตรบุญธรรม หรือบุตรซึ่งยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่น
- บุตรมีอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ จำนวนคราวละไม่เกิน 3 คน เว้นแต่ผู้ประกันตนเป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแต่ความตาย ในขณะที่บุตรมีอายุแรกเกิด จนถึง 6 ปีบริบูรณ์ จะมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนต่อจนอายุ 6 ปีบริบูรณ์
เอกสารที่ต้องเตรียม
- แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกองทุนประกันสังคม (สปส. 2-01)
- กรณีที่ที่คุณแม่เคยยื่นใช้สิทธิแล้ว และประสงค์จะใช้สิทธิสำหรับบุตรคนเดิม ให้ใช้หนังสือขอใช้สิทธิบุตรคนเดิมกรณีกลับเข้าเป็นผู้ประกันตน จำนวน 1 ฉบับ
- สำเนาสูติบัตร 1 ชุด ในกรณีที่คุณพ่อขอใช้สิทธิ ใช้สำเนาทะเบียนสมรส หรือสำเนาทะเบียนหย่า พร้อมบันทึกแนบท้ายของผู้ประกันตน หรือสำเนาทะเบียนรับรองบุตร หรือสำเนาคำพิพากษาคำสั่งของศาลให้เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย แนบมาพร้อมกับสำเนาสูติบัตรของบุตร 1 ชุด
- ในกรณีที่มีการเปลี่ยนชื่อ หรือนามสกุล ให้แนบเอกสารในการเปลี่ยนชื่อ หรือนามสกุลมาด้วย 1 ชุด
- ในกรณีผู้ประกันตนชาวต่างชาติขอรับประโยชน์ทดแทน ให้ใช้สำเนาบัตรประกันสังคม และสำเนาหนังสือเดินทาง (Passport) หรือสำเนาหนังสือเดินทางชั่วคราว หรือเอกสารรับรองบุคคลที่ทางราชการออกให้ 1 ชุด
- สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร ประเภทออมทรัพย์ หน้าแรก ซึ่งมีชื่อรับรองของผู้ยื่นคำขอ รายชื่อธนาคารที่สามารถยื่นได้ ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารทหารไทยธนชาติ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และธนาคารซีไอเอ็มบีไทย
- เอกสารประกอบการยื่นคำขอประโยชน์ทดแทน ทุกฉบับที่เป็นสำเนาให้เซ็นรับรองความถูกต้องทุกฉบับ และแสดงเอกสารที่เป็นต้นฉบับเมื่อเจ้าหน้าที่ขอตรวจสอบ ในกรณีที่เอกสาร หรือหลักฐานสำคัญต่อการพิจารณาเป็นภาษาต่างประเทศ ให้จัดทำคำแปลเป็นภาษาไทย และรับรองความถูกต้องให้ครบถ้วน
สิทธิประโยชน์ : เงินอุดหนุน
สำหรับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดที่จะเป็นการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาให้กับผู้ปกครองที่มีบุตร ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี 600 บาท/เดือน
สิทธิของเด็กแรกเกิด
- มีสัญชาติไทย (พ่อและแม่มีสัญชาติไทย พ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งมีสัญชาติไทย)
- เกิดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไป จนมีอายุครบ 6 ปี
- อาศัยอยู่กับผู้ปกครองที่อยู่ในครัวเรือนที่มีรายได้น้อย คือ สมาชิกครัวเรือนมีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปี
- ไม่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของหน่วยงานของรัฐ หรือเอกชน
พ่อแม่ที่มีสิทธิลงทะเบียน
- มีสัญชาติไทย
- เป็นบุคคลที่รับเด็กแรกเกิดไว้ในความอุปการะ
- เด็กแรกเกิดต้องอาศัยรวมอยู่ด้วย
- อยู่ในครัวเรือนที่มีรายได้น้อย คือ สมาชิกครัวเรือนมีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาท ต่อคน ต่อปี
เอกสารที่ต้องเตรียม
- แบบคําร้องขอลงทะเบียน (ดร.01)
- แบบรับรองสถานะของครัวเรือน (ดร.02)
- บัตรประจําตัวประชาชนของผู้ปกครอง
- สูติบัตรเด็กแรกเกิด
- สมุดบัญชีเงินฝากของผู้ปกครอง
- สมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก เฉพาะหน้าที่ 1 ที่มีชื่อของหญิงตั้งครรภ์
- กรณีที่ผู้ยื่นคําร้องขอลงทะเบียนและสมาชิกในครัวเรือนของผู้ยื่นคําร้องขอลงทะเบียน เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือพนักงานบริษัท ต้องมีเอกสาร ใบรับรองเงินเดือน หรือหนังสือรับรองรายได้ของทุกคนที่มีรายได้ประจํา (สลิปเงินเดือน หรือเอกสารหลักฐานที่นายจ้างลงนาม)
- สําเนาเอกสาร หรือบัตรข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ บัตรแสดงสถานะหรือตําแหน่ง หรือเอกสารอื่นใดที่แสดงตนของผู้รับรองคนที่ 1 และผู้รับรองคนที่ 2
อ้างอิงจาก : https://www.enfababy.com/social-security-benefits-for-pregnancy