Parents One

วิธีเตรียมใจเจ้าหนู ให้พร้อมก่อนเข้าโรงเรียน

การเข้าเรียนวันแรกนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับใคร โดยเฉพาะกับเด็กเล็กที่ไม่เคยไปโรงเรียนมาก่อน การไปโรงเรียนครั้งแรกของเขาก็ไม่ต่างกับการก้าวเท้าแรกสู่โลกกว้าง สิ่งที่สำคัญนอกจากการเตรียมตัว เตรียมอุปกรณ์เข้าเรียนให้พร้อม ก็คือการเตรียมใจนั่นเองค่ะ

การเข้าเรียนก็หมายความว่าเจ้าหนูต้องเปลี่ยนทั้งสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตที่เขาคุ้นเคย ถึงแม้ว่าเจ้าหนูจะสามารถทำอะไรเองได้บ้างแล้ว แต่การเตรียมใจให้เขาพร้อมเข้าสู่รั้วโรงเรียนได้อย่างไม่หวาดกลัวก็จะทำให้ประสบการณ์การเรียนของเขาเต็มไปด้วยความสุข จะมีวิธีไหนกันบ้าง เราไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ

พูดคุยเรื่องโรงเรียนบ่อยๆ ให้เคยชิน

เริ่มตั้งแต่ตอนที่เจ้าหนูยังไม่เข้าเรียน คุณพ่อคุณแม่สามารถพูดคุยกับเขาเรื่องโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นการให้เขาดูการ์ตูน ฟังเพลง หรือเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการไปเรียนหนังสือ (อ่านนิทานเรื่องป๋องแป๋งไปโรงเรียน, กุ๋งกิ๋งไปโรงเรียน, ร้องเพลง The Wheels on the Bus) ถ้ามีเด็กวัยเรียนอีกคนในบ้านก็พูดให้เขาฟังตลอดว่าพี่คนนี้ไปโรงเรียน ให้เขาเข้าใจว่าการไปเรียนเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนทำกันค่ะ

เล่าให้เขาฟังเรื่องชีวิตประจำวันไปโรงเรียน ตั้งแต่ตื่นเช้าเตรียมตัวไปโรงเรียนจนถึงกลับมานอนที่บ้าน หรือสามารถปรับให้เป็นการเล่นบทบาทสมมติระหว่างคุณพ่อคุณแม่และเจ้าตัวน้อยก็ได้ค่ะ พาเขาจินตนาการว่าการไปโรงเรียนต้องทำอะไรบ้าง มีสถานการณ์ไหนที่เขาต้องเจอ โดยจะเล่าแทนนิทานก่อนนอนก็ยังได้ เล่าบ่อยๆ ให้เขาเคยชินและรู้สึกตื่นเต้นกับการไปโรงเรียนค่ะ

 

พาเจ้าหนูไปโรงเรียนก่อนเปิดเทอม

อีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้เขาคุ้นเคยกับโรงเรียนอย่างง่ายๆ ก็คือการพาเขาไปโรงเรียนตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียนนั่นเองค่ะ ก่อนที่จะเปิดเทอม คุณพ่อคุณแม่อาจต้องเข้าออกโรงเรียนบ้างเป็นปกติ ไหนจะเป็นการติดต่อหาโรงเรียน จ่ายค่าเทอม ซื้อชุดนักเรียนและหนังสือนักเรียน ให้พาเขาไปด้วยในทุกโอกาส แรกๆ อาจจะกลัวบ้าง แต่จะทำให้เจ้าหนูชินกับการไปโรงเรียน และไม่กลัวสถานที่ใหม่ๆ ค่ะ

เข้าคอร์สทดลองเรียนฟรี

ถึงจะใช้บทบาทสมมติเข้าช่วย แต่การไปเข้าคอร์สทดลองเรียนฟรีของโรงเรียนหรือโรงเรียนพิเศษ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้เขาได้มีประสบการณ์ในห้องเรียน ให้เขารู้จักครูและเพื่อนๆ โดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องคาดหวังว่าเขาจะเรียนรู้อะไร แต่ดูทรงว่าเขาจะปฏิบัติตัวในสถานศึกษายังไงค่ะ

เมื่อเรียนจบแล้วก็ให้พูดคุยกับเขาอย่างเป็นกันเอง ถามคำถามอย่างสร้างสรรค์ให้ลูกเล่าออกมาได้ หรือยกตัวอย่างให้เขาเรียบเรียงความคิดของเขาออกมาด้วยก็ยิ่งดีค่ะ ถามคุณครูและพี่เลี้ยงถึงพฤติกรรมของเจ้าหนูในห้องเรียนว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง มีอะไรที่ทำได้ดีหรือต้องปรับปรุงต่อไปหรือไม่

นอกจากนี้แล้ว การให้ลูกเข้าคอร์สเรียนนั้นจะเป็นการฝึกคุณพ่อคุณแม่เรื่องการรับส่งลูก การห่างจากลูก และการอดทนอดกลั้นด้วยค่ะ

 

จัดกระเป๋าไปโรงเรียนด้วยกัน

หนึ่งในทักษะที่เจ้าหนูควรมีก่อนเข้าเรียนก็คือการจำของของตัวเองได้ การจัดกระเป๋าด้วยกันจะช่วยทำให้เขาจำของของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นกระติกน้ำ กระเป๋าดินสอ ของใช้ที่จำเป็นต้องพกติดตัวต่างๆ อธิบายให้เขาเข้าใจว่าของที่มีชื่อเขาก็คือของของเขา เหมือนชุดนักเรียนที่ปักชื่อ กระติกน้ำที่มีป้ายชื่อติดไว้ค่ะ

 

ไม่ทำหน้าที่แทนครู

ในวันจริงที่คุณพ่อคุณแม่ต้องพาเขาไปโรงเรียน ขอให้คุณพ่อคุณแม่กลั้นใจให้แข็งไว้ ปล่อยให้ครูได้พูดคุยและดูแลลูก พาลูกเข้าห้องเรียน ขึ้นรถนักเรียน ให้โอกาสคุณครูได้ปลอบใจและตีสนิทกับลูกในระหว่างที่เขาอยู่ในโรงเรียน เพราะยังไงคุณครูก็ต้องดูแลลูกเราไปอีกหลายชั่วโมง ทั้งนี้จะง่ายสำหรับตัวลูกน้อยและง่ายสำหรับคุณครูด้วยค่ะ

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นห่วงว่าเจ้าหนูจะเป็นยังไงในโรงเรียน ก็คงต้องมีอารมณ์อยากแอบดูแอบตามกันบ้าง ซึ่งทำได้ แต่ต้องไม่ให้ลูกเห็นนะคะ เพราะถ้าลูกเห็นเรา เขาจะคิดถึง ร้องไห้ และยิ่งรอคอย ทำให้เขาเสียสมาธิจนไม่ได้ร่วมกิจกรรมกับเพื่อนๆ และคุณครูอย่างเต็มที่ค่ะ

 

ถ้าร่างกายและจิตใจปลอดภัย ทุกอย่างก็โอเค

ลูกร้องไห้ ไม่ได้เพราะเจ็บปวดหรือเจ็บป่วย

เขากำลังเติบโตไปอีกขั้นหนึ่งเท่านั้น

คุณพ่อคุณแม่เองก็ด้วยค่ะ

เป็นปกติที่ลูกเราจะต้องร้องไห้อยู่แล้ว และการร้องไห้ตอนไปโรงเรียนนั้นไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ขอให้คุณพ่อคุณแม่เชื่อมั่นว่าลูกเราจะต้องผ่านมันไปได้ และพอเขาชิน เขาสนุกกับโรงเรียนแล้ว เขาก็จะเลิกร้องไห้เองค่ะ

อย่ากังวลมากจนเกินไป

การหวงประสบการณ์ชีวิตไว้จากลูก

จะยิ่งทำให้ลูกรู้จักชีวิตได้ช้าลงเรื่อยๆ

หากเค้าอายุโตเกินไป แล้วเพิ่งมีประสบการณ์

ในขณะที่เพื่อนๆในวัยเดียวกันมีแล้ว

ก็อาจจะทำให้ลูกพัฒนาการติดขัดเพราะขาดความมั่นใจ

คุณพ่อคุณแม่ต้องลองค่อยๆปรับตัวปรับใจทั้งของลูกของเรา

ให้เติบโตไปตามวันเวลาที่ควรเป็นนะคะ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ทั้งนี้ทั้งนั้น หลังจากกลับมาบ้านทุกครั้ง คุณพ่อคุณแม่ควรสำรวจร่างกายลูกด้วยว่าเขาปลอดภัย ไม่มีบาดแผล สังเกตพฤติกรรมต่างๆ เพื่อดูว่ามีอะไรแปลกไปหรือไม่ ทั้งด้านดีและด้านไม่ดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ให้ระมัดระวังตัวในการแสดงออก ไม่ให้เขาเห็นว่าเราตื่นตูมหรือประมาทเกินไปจนเขาสับสนค่ะ