อาการแพ้ขนสัตว์ เกิดจากรังแคของสัตว์เลี้ยงที่มีขน เช่น สุนัข แมว กระต่าย หรือกระรอก ซึ่งมักลอยอยู่ในอากาศหรือติดอยู่ตามโซฟา ที่นั่งที่นอน เมื่อเด็กสูดหายใจเข้าไปทางจมูกหรือเข้าไปในหลอดลม ทำให้เกิดอาการแพ้ โดยเฉพาะในเด็กที่มีประวัติภูมิแพ้ในพ่อหรือแม่เพราะโรคนี้ถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่ในกรณีที่ไม่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว เด็กก็อาจเป็นภูมิแพ้ได้จากตัวเองถึงร้อยละ 14 เนื่องจากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีสารก่อภูมิแพ้จำนวนมากและเป็นเวลานาน วันนี้เรามีวิธีป้องกันการแพ้ขนสัตว์ในเด็ก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถป้องกันได้มาฝากกันค่ะ
1. หมั่นทำความสะอาดห้องนอนลูก
เพิ่มความสะอาดภายในห้องนอนลูก และภายในบ้าน ควบคู่กับการจัดสรรห้องนอนลูกน้อย ให้ห้องมีความสะอาดโล่ง โปร่งสบาย เพราะลูกน้อยต้องสูดอากาศในห้องนอนไม่ต่ำกว่า 8-10 ชั่วโมง นอกจากขนสัตว์แล้ว ควรหลีกเลี่ยงการเก็บหนังสือ พรม หรือสิ่งที่คิดว่าเป็นแหล่งสะสมไรฝุ่นเอาไว้ในห้องลูกน้อยด้วย
2. จัดพื้นที่เลี้ยงให้เป็นสัดส่วน
ถ้าบ้านไหนเลี้ยงสัตว์ ควรจัดพื้นที่ให้เป็นสัดส่วน ไม่ควรเลี้ยงในบ้านหรือห้องนอน เลี้ยงสุนัขจะดีกว่าแมว หมั่นดูแลสัตว์เลี้ยงโดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ และป้องกันเห็บหมัด อาบน้ำทุกสัปดาห์ ส่วนเด็กก็ควรล้างมือให้สะอาดหลังเล่นกับสัตว์เลี้ยง และไม่ควรไปกอดจูบ สัตว์เลี้ยงในเด็กเล็กต้องมีผู้ใหญ่คอยดูแลอย่างใกล้ชิดขณะเล่นกับสัตว์เลี้ยง
3. ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ
เริ่มต้นจากไม่นำสัตว์เลี้ยงเข้าห้องนอน ควรติดตั้งเครื่องปรับอากาศหรือเครื่องฟอกอากาศไว้ในบ้าน จากนั้นหมั่นทำความสะอาดและดูดฝุ่นภายในบ้านทุกวัน และซักทำความสะอาดเครื่องนอนต่างๆ ของลูกน้อยในทุกสัปดาห์ เพื่อช่วยกำจัดไรฝุ่น
4. ล้างมือทุกครั้งหลังสัมผัสสัตว์เลี้ยง
คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ลูก ทำความสะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสสัตว์เลี้ยง ให้ลูกล้างมือ หรืออาบน้ำทุกครั้งหลังที่สัมผัสสัตว์เลี้ยง
5. หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้สัตว์เลี้ยง
เมื่อทราบว่าลูกมีอาการแพ้ขนสัตว์เลี้ยง สิ่งที่ดีที่สุดคือ การให้ลูกอยู่ห่างจากสัตว์เลี้ยงมากที่สุด ไม่ว่าจะในบ้านหรือนอกบ้าน โดยเฉพาะสัตว์ที่มีขนร่วงจำนวนมาก โดยเฉพาะแมว ความจริงแล้วไม่ใช่ขนแมวที่ทำให้เกิดอาการแพ้แต่เป็นการแพ้โปรตีน Fel d 1 ที่อยู่ในผิวหนังของแมว ซึ่งรูปร่างของอนุภาคโปรตีน Fel d 1 เล็กและเบามาก มีขนาดเพียง 1 ใน 10 ของสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นฝุ่น และสามารถลอยอยู่ในอากาศได้นานหลายชั่วโมง จึงทำให้มีโอกาสที่แพ้มากกว่าสุนัขนั่นเอง
6. หมั่นดูแลสุขอนามัยของสัตว์เลี้ยง
ควรอาบน้ำสัตว์เลี้ยงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวสัตว์เลี้ยง หมั่นแปรงขนให้สัตว์เลี้ยงบ่อยๆ รวมถึงทำความสะอาดของเล่นของสัตว์เลี้ยงทุกสัปดาห์ ไม่นำสัตว์เลี้ยงมาเล่นบนโซฟาหรือบนโต๊ะ ไม่นำสัตว์เลี้ยงเข้าไปภายในรถ และควรให้สัตว์เลี้ยงกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทโอเมก้า3 เพื่อบำรุงขนและป้องกันการหลุดร่วงของเส้นขน
อาการแพ้ขนสัตว์ในเด็กที่พบบ่อย คือ ภูมิแพ้จมูก เป็นลักษณะอาการคัน จาม มีน้ำมูกและมีคัดจมูก หายใจไม่ออก ต้องอ้าปากหายใจ ทำให้มีปัญหาป่วยง่ายและป่วยอยู่บ่อยๆ ถ้าเป็นหอบหืด ก็จะมีอาการไอ มีเสมหะและหายใจเสียงดังหวี้ดๆ ต้องไปพ่นยาขยายหลอดลมหรือกินยาจึงจะดีขึ้น นอกจากนี้ก็อาจเป็นภูมิแพ้ออกตา คือมีตาแดง คันตา น้ำตาไหล หรือมีปัญหาเป็นผื่นผิวหนังอักเสบตามแขนขาที่สัมผัสกับรังแคสัตว์ที่แพ้ได้ โดยอาการเหล่านี้เกิดขึ้นตอนเด็กไปสัมผัสเท่านั้น สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการกินยาแก้แพ้เป็นหลัก แต่ถ้ามีอาการรุนแรงและเรื้อรังก็ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางโดยด่วนค่ะ
ที่มา