เมื่อโลกของเราพัฒนาไปมากทั้งเรื่องสังคมและเทคโนโลยี กับเรื่องของเพศเองก็มีการพัฒนาตามไปเช่นกัน ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายท่านสังเกตได้ว่าปัจจุบัน มีเด็กมากมายที่กล้าแสดงออกถึงตัวตนของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการบอกถึงความชอบ, การเลือกกิจกรรมหรือสิ่งของต่างๆ ตามใจจริงไม่ใช่เพราะเพศสภาพบังคับให้ต้องชอบ อย่างผู้หญิงต้องชอบดอกไม้ ผู้ชายต้องชอบหุ่นยนต์
แต่ทว่ายังมีผู้คนอีกมากที่ไม่เข้าใจว่าการเป็นเพศทางเลือกคืออะไร และคิดว่าไม่สามารถเป็นได้ด้วยการตีกรอบว่า โลกนี้มีเพียงผู้ชายและผู้หญิง
การที่ลูกอย่างเป็นเพศทางเลือกอย่างการเป็นเกย์, ทอม หรือไบเซ็กชวล ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายๆ ท่านเข้าใจไปว่าลูกมีอาการทางจิตนั้น ซึ่งสิ่งนี้ไม่เป็นความจริงเลยค่ะเพราะกรอบค่านิยมว่าโลกนี้มีเพียงเพศชาย และเพศหญิงนั้นได้หลุดออกไปนานแล้วและถึงเวลาที่เราจะได้เรียนรู้และทำความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับเพศทางเลือกของลูกเพิ่ม
ซึ่งเพศทางเลือกคืออะไร จะต้องดูแลเลี้ยงดูแบบไหนหากลูกของเรามุ่งมั่นแล้วที่จะเป็นเพศทางเลือก มาอ่านไปพร้อมๆ กันเพื่อทำความเข้าใจและดูแลลูกให้ดีที่สุดกันนะคะ
มิติของเพศที่ไม่ได้จบแค่ชายหรือหญิง
เพราะโลกใบนี้ไม่ได้มีเพียงชายแท้, หญิงแท้ แต่เพราะโลกของเราประกอบไปด้วยเพศทางเลือกอีกมากมาย เราจึงต้องมาเรียนรู้กันค่ะ เพศทางเลือกหรือที่เรามีคำขยายความมาจากคำว่า LGBT หรือในตอนนี้ครอบคลุมเป็น LGBTQ+ เป็นคำเรียกกับบุคคลที่ไม่ได้ถูกจำกัดไว้เพียงเพศชาย และเพศหญิง แต่ซับซ้อนยิ่งกว่าเมื่อความชอบหรือเพศที่ต้องการเป็นนั้นขึ้นอยู่กับเจ้าตัวว่าอยากเป็ยสิ่งใดโดยสามารถแบ่งตามหัวข้อต่างๆ ได้ดังนี้
- sex assigned at birth คือการกำหนดเพศโดยแพทย์ที่ทำคลอดซึ่งสิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการกำหนดตามสภาพร่างกายแต่กำเนิดว่าเด็กที่เกิดมาเป็นเพศไหนในด้านร่างกายแต่ไม่ได้ครอบคลุมถึงจิตใจ
- gender identity คือความรู้สึกภายในว่าต้องการที่จะมีความรู้สึกเป็นชายหรือเป็นหญิงหรือที่เราเรียกกันว่า อัตลักษณ์ทางเพศ
- gender expression คือการแสดงออกมาต่อหน้าผู้อื่นเพื่อให้ผู้อื่นรับรู้ว่าอัตลักษณ์ของเพศเราเป็นเช่นไร โดยไม่ต้องคำนึงถึงเพศที่เกิดมาแต่แรกว่าเป็นเพศไหน
- sexually attracted to คือความรู้สึกทางเพศที่รู้สึกกับเพศอื่นๆ ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้รู้สึกมักจะตรงกับอัตลักษณ์ของเพศที่เป็นอยู่
- emotionally attracted to คือความรู้สึกรักใคร่, ผูกพันกับเพศอื่นๆ
เมื่อแบ่งได้ตามนี้ จะเห็นแล้วใช่ไหมคะ ว่าการแบ่งชั้นของเพศนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงกับการเกิดมาและคุณหมอบอกเพศที่เกิดว่าชายหรือหญิง หรืออาจเป็น intersex (การมีสองอวัยวะเพศในร่างกาย ) แต่เกี่ยวกับตัวตนที่ถูกหล่อหลอมขึ้นมาด้วยเช่นกัน ว่าเมื่อลูกเติบโตขึ้นมาในสังคม เขาอยากจะเป็นใครซึ่งปัจจัยนั้นมีมากมายเลยค่ะ แต่ในวันนี้เราจะมาไขความเข้าใจผิดกันก่อนว่า เหตุที่ลูกอยากเป็นเพศทางเลือก บางครั้งมันก็ไม่ได้มาจากเหตุผลที่คุณพ่อคุณแม่กังวลหรอกนะ
ความเข้าใจผิดที่ 1
ลูกแค่เลียนแบบสื่อต่างๆ ไม่ได้เป็นจริง เดี๋ยวก็หาย
บางครั้งเราต่างก็คิดว่าที่ลูกมีท่าทางไม่ตรงกับธรรมชาติของเพศที่ถูกกำหนดมาเพราะกำลังติดสื่อบางประเภทอยู่และเลียนแบบตามเท่านั้น แก้ปัญหาด้วยการไม่ให้ดูหรือคอยพูดย้ำเตือนว่าเป็นสิ่งที่ผิดหรือห้ามทำตามไปเลยซะก็จบเรื่อง แต่เราไม่สามารถรู้ได้เลยค่ะว่าจริงๆ แล้วในบางครั้ง เขาอาจจะกำลังเรียนรู้และแสดงถึงสิ่งที่ตัวเองชอบออกมาเพื่อบอกถึงตัวตนของเขาก็เป็นได้
ดังนั้น เมื่อเห็นเขาทำสิ่งใดที่คิดว่าคงไปเลียนแบบมาจากสื่อ อย่างการอยากใส่กระโปรงรึกางเกง, ติดพูดลงท้ายด้วยคำของเพศตรงข้าม ก็อยากให้ใจเย็นและค่อยๆ สังเกตพฤติกรรมของลูกมากกว่าเข้าไปสร้างกฏครอบเขาไว้เลยตั้งแต่เริ่มว่าต้องเป็นในทางไหน เพราะสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องกังวลจริงๆ ในการเลียนแบบสื่อ ไม่ใช่เรื่องภาพลักษณ์ที่ลูกอยากลองเป็นแต่ต้องช่วยคัดกรองเนื้อหาของสื่อนั้นๆ มากกว่า อาทิความรุนแรง, ความหยาบคาย, เรื่องผิดกฏหมาย หรือการสร้างความคิดเชิงลบที่ไม่ควรปลูกฝังให้เด็ก นี่คือสิ่งที่ต้องคอยดูแลและแนะนำค่ะ
ความเข้าใจผิดที่ 2
ขาดความอบอุ่น อาจถูกพ่อรึแม่เลี้ยงมาคนเดียวเลยติดนิสัยเพศนั้นไป
โดยปกติแล้วเด็กทุกคนมักมีคนเลี้ยงดูและดูแลทั้งชายและหญิงและมีบ้างที่อาจเป็นเพศใดเพศหนึ่งดูแล ซึ่งตามจริงแล้วนั้น การเลี้ยงดูของคุณพ่อรึคุณแม่มีส่วนแต่น้อยมากเลยค่ะที่จะทำให้เด็กๆ รู้ตัวว่าเขามีความต้องการจะเป็นเพศทางเลือก เพราะเรื่องนี้คือสิ่งที่เด็กทุกคนจะรู้สึกถึงตัวตนของเขาได้ตั้งแต่เล็กว่าต้องการอะไร ทำให้ปัจจัยภายนอกไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงดู, เลือกคบเพื่อนหรือการสอนสั่งจากใครก็ไม่อาจมีผลเท่าความคิดของลูกค่ะ
สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความสำคัญในการเลี้ยงดู จึงควรเป็นเรื่องการเตรียมความพร้อมให้ลูกมากกว่าการยึดติดว่าถ้าลูกสาวต้องอยู่กับแม่ ลูกชายต้องอยู่กับพ่อ แต่เปลี่ยนเป็นต้องช่วยกันเลี้ยงดูให้ลูกได้มีความสุข และได้ใช้ช่วงเวลาดีๆ กับเราให้มากที่สุด
ความเข้าใจผิดที่ 3
เป็นตามเพื่อน แค่ตามเทรนตามกระแส การเป็นเพศทางเลือกไม่มีจริง
โดยปกติแล้ว พฤติกรรมของเด็กที่อยู่ด้วยกันมักมีกิจกรรมที่คล้ายคลึงกัน แต่ในเรื่องของเพศทางเลือกนั้น ไม่ใช่สิ่งที่สามารถตัดสินหรืออยากเป็นได้จากการคบเพื่อนหรืออยากตามกระแสอย่างแน่นอนเพราะ บางครั้งการคบเพื่อนรึสนใจในเรื่องเพศที่แตกต่างไปจากชายจริงหญิงแท้ก็เริ่มต้นมาจากการที่สิ่งสนใจคล้ายๆ กัน สามารถเข้ากันได้ดีในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือมีแนวทางความคิดไปในทางเดียวกัน ดังนั้น การที่ลูกจะเป็นหรือไม่เป็น เพื่อนคือกลุ่มก้อนของบุคคลที่ลูกของเราไว้ใจ และเทรนกระแสสิ่งต่างๆ ก็เป็นเพียงตัวช่วยในการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของลูกเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือส่งผลในรัยัยาวของการเลือกเป็นเพศทางเลือกอย่างแน่นอน
ความเข้าใจผิดที่ 4
เด็กอาจเป็นโรคทางจิต ต้องได้รับการรักษา
เมื่อเราต่อต้านสิ่งที่ลูกแสดงออก เราจึงมักหาทุกเหตุผลมารองรับความคิดของตัวเราเองว่าถูกต้อง อย่างกับการใช้เรื่งอของโรคทางจิตมาเป็นข้ออ้างนั้นก้มีมาตั้งแต่สมัยอดีตว่า เด็กอาจมีความผิดปกติทางจิตใจ เลยสับสนกับเพศที่เกิดมา ซึ่งในความจริงนั้น การเป็นเพศทางเลือก ไม่ใช่ปัญหาหรืออาการทางจิตแต่อย่างใด มันคือความรู้สึกที่เขาได้เป็นและพึงพอใจในตนเองก็เท่านั้น
สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจคือการพบแพทย์เกี่ยวกับเรื่องเพศทางเลือก ควรเป็นการพบเพื่อรับคำปรึกษาเพื่อทำความเข้าใจกับเพศที่ต้องการเป็นให้มากขึ้นหรือให้มั่นใจว่าสิ่งที่เป็นอยู่นั้นมั่นใจดีแล้วแน่นอนเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนให้กลับไปเป็นในสิ่งที่สังคมและพ่อแม่ต้องการค่ะ
ความเข้าใจผิดที่ 5
คนที่มีเพศแบบนี้ อยู่ในสังคมไม่ได้หรอก ไม่มีใครยอมรับ กลับมาเป็นปกติเถอะ
เพราะคิดว่าเพศทางเลือกนั้น อาจทำให้โอกาสเข้ามาหาหรือมีชีวิตที่อยู่ยากกว่าเพศชายและหญิงตามกรอบที่สังคมกำหนด จึงรู้สึกกลัวหากลูกเป็นเพศทางเลือกเพราะไม่ใช่เพียงเรื่องปากท้อง แต่อาจเป็นเรื่องของการติฉินนินทาจากผู้อื่นที่จะวิจารณ์เข้ามาอีกซึ่งในความจริงแล้วการไม่ยอมรับในเพศทางเลือก เป็นความเชื่อที่ส่งต่อกันมาด้วยความเข้าใจผิดด้วยค่านิยมชายจริงหญิงแท้ การเป็นเพศทางเลือกสามารถเลือกงานที่ต้องการได้, มีความสามารถและคุณสมบัติไม่ต่างอะไรเลยกับเพศอื่นๆ ขอเพียงได้อยู่ในสังคมที่ดี มีความเปิดกว้างทางแนวคิด ก็จะได้พบกับความสำเร็จและอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน
ดังนั้นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำ ไม่ใช่เปลี่ยนความชอบหรือเพศของลูกให้เป็นไปตามกระแสสังคม แต่ต้องอยู่เคียงข้างและคอยเป็นกำลังใจให้ลูกเสมอในวันที่เขาเลือกทางเดินของตนเอง ไม่มีใครอยู่เคียงข้างลูกและเข้าใจตัวตนลูกได้ดีเท่าพ่อแม่อีกแล้ว
ความเข้าใจผิดที่ 6
พยายามกดดันมากๆ เดี๋ยวลูกก็ยอมกลับมาเป็นเพศเดิมเองแหละ
วิธีการนี้หลายๆ บ้านมักใช้กันเพราะเชื่อว่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าจะเป็นการบอกตัดสายสัมพันธ์ทางครอบครัว, ตัดเงินไม่ส่งเสียเลี้ยงดู, ตำหนิและด่าทอทุกอย่างที่รู้สึกไม่พอใจกับลูก ซึ่งคนส่วนมากมักเข้าใจว่าลูกจะอยู่ในโอวาทและยอมทำตามแต่ใครจะรู้ว่า การกระทำแบบนี้ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายท่านสูญเสียลูกไปแล้วตลอดกาลไม่ในทางตรงก็ทางอ้อม ทั้งความใกล้ชิด, ความเข้าอกเข้าใจหรือบางคนอาจพบเจอกับความเศร้าที่หนักยิ่งกว่าเมื่อลูกตัดสินใจที่จะตีตัวออกห่าง ไม่กลับมาเหลียวแลครอบครัวอีก
การเป็นเพศทางเลือก ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเปลี่ยนไปหรือมาได้เพราะความรู้สึกของคนอื่นมามีอิทธิพลกับตัวของลูกแต่เกิดจากความต้องการของตัวลูกอีกเองที่อยาเป็นแบบไหน ฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดเมื่อรู้ว่าลูกต้องการจะเป็นเพศทางเลือกต้องปล่อยให้เขาได้เป็นในสิ่งที่ชอบ นึกไว้เสมอว่าเพศที่ลูกได้เกิดมาคือเพศแรกเกิดแต่ไม่สามารถกำหนดชีวิตเขาไปได้ตลอดกาล มอบอิสระและโอกาสให้ลูกได้เป็นอย่างที่มีความสุขที่สุดกันนะคะ
ที่มา http://online.anyflip.com/slmrr/cjaj/mobile/index.html , https://www.hotcourses.in.th/study-abroad-info/before-you-leave/what-is-lgbtq/