Parents One

10 ความในใจที่คุณแม่ซึมเศร้าหลังคลอดอยากบอกให้ทุกคนได้รู้

การเป็นคุณแม่นี่ใครบอกว่าจะเป็นได้สบายๆ เพราะนอกจากจะต้องอุ้มครรภ์ตั้ง 9 เดือนแล้ว ยังต้องเสี่ยงกับภาวะ “โรคซึมเศร้าหลังคลอด” ด้วยนั่นเอง

โรคซึมเศร้าหลังคลอด คือ โรคยอดฮิตที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนที่รวดเร็ว ทำให้อารมณ์ของคุณแม่มีการแปรปรวน โดยเฉพาะเมื่อตอนที่อยู่กับลูกน้อย ที่เราจะต้องดีใจเมื่อได้คลอดเขาออก แต่มันกลับตรงกันข้าม!! ซึ่งโรคนี้เป็นโรคที่ทรมานใจของแม่ๆ มากเลยค่ะ

หลายคนมักจะสับสนกับ Baby blue ซึ่งเป็นอาการเศร้าเล็กน้อยของแม่ๆ ด้วยเช่นกันค่ะ แต่ว่าแตกต่างกันตรงที่ Baby blue คุณแม่จะหายหลังจากวันคลอดประมาณ 2-3 วัน อาจเพราะเหนื่อยล้า และยังไม่ชินกับการมีลูกน้อย แต่ว่าโรคซึมเศร้าหลังคลอดจะไม่หายเลย ถ้าหากคุณแม่ไม่ได้รับการรักษา กรณีที่ร้ายแรงที่สุด คือ ถึงขั้นฆ่าตัวตายก็มีค่ะ

เพราะฉะนั้นเราเลยอยากจะมาแชร์ 10 ความในใจที่คุณแม่ซึมเศร้าหลังคลอดอยากบอกให้ทุกคนได้รับรู้ เพื่อที่จะได้เข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ที่ต้องเผชิญหน้ากับโรคนี้ เเละช่วยกันให้กำลังใจคุณแม่ๆ กันด้วยนะคะ

ไม่มีแม่คนไหน อยากเป็นโรคนี้หรอก

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าแม่ที่เป็นโรคซึมเศร้าไม่ได้เป็นแม่ที่ไม่ดี เพียงแต่ว่าในช่วงเวลานั้นสมองได้หลั่งสารเคมีที่ทำให้คุณแม่มีความคิดแปลกๆ ขึ้นชั่วคราวเท่านั้น

เพราะโรคนี้มันทรมานมากจริงๆ ค่ะ มันทำให้เรามีความคิดด้านลบอยู่ตลอดเวลาเลย ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้อยากคิดแง่ลบแม้แต่นิดเดียว ไม่มีคุณแม่คนไหนหรอกค่ะที่อยากจะเป็นโรคนี้

 

ใจสลาย เพราะสิ่งที่เคยคิด + วางแผนไว้มันก็พังลงมาหมด

รู้สึกใจสลายทุกครั้ง เมื่อความเศร้าเริ่มเข้ามา คงเพราะสิ่งที่เคยคิด และวางแผนไว้มันพังลงมาหมด หลังจากนั้นความเศร้ามันก็จะดึงให้คุณแม่ๆ ลงไปในอาการเศร้าที่มีหลายระดับมากๆ ขึ้นอยู่ว่าคุณแม่จะสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้เศร้าได้ในระดับไหนเท่านั้นเองค่ะ

เพราะฉะนั้น หากคนในครอบครัวรู้ว่าคุณแม่กำลังมีอาการเศร้า ควรเข้าไปให้กำลังใจ ไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแค่นั่งอยู่ข้างๆ ให้คุณแม่รู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียวก็เพียงพอแล้วค่ะ

 

อยากให้สามีชวนคุย ดูแลและเอาใจใส่เพิ่มมากยิ่งขึ้น

ขอบอกตรงนี้เลยว่าความรักจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะคนในครอบครัว คือ สิ่งสำคัญที่ทำให้คุณแม่หายจากโรคซึมเศร้าหลังคลอดได้นะคะ โดยเฉพาะคุณสามีที่ต้องหมั่นชวนคุณแม่ของเราพูดคุย ดูแล และเอาใจใส่เพิ่มมากขึ้นอีกเท่าตัวเลยค่ะ

ชีวิตคู่จะมีความหมายมากๆ ก็ตรงนี้แหละค่ะ เพราะมันทำให้เราได้รู้ว่าใครบ้างที่ยังรักเรามากๆ ยอมรับเราได้ ไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไรก็ตามนั่นเอง

 

กลัวว่าจะเป็นแม่ที่เลี้ยงลูกได้ไม่ดีพอ

กลัวไปหมด เพราะความคิดทุกๆ อย่างมันเปลี่ยนไปหมด มันไม่เหมือนเดิม มันทำให้เรามองโลกในแง่ร้ายได้อีกมุมอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งความกลัวที่มากที่สุดในจิตใจของแม่ นั่นก็คือ กลัวว่าจะเป็นแม่ที่เลี้ยงลูกได้ไม่ดีพอ

 

คำพูดที่ไม่ได้คิดของคนอื่น เหมือนมีดที่กรีดเปิดแผลในใจ

บางครั้งคำพูดที่ไม่ได้คิด และไม่ได้ตั้งใจของคนใกล้ชิด ก็สามารถเปลี่ยนเป็นมีดที่กรีดเข้าไปในใจของคุณแม่ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะพูดอะไรควรคิดไตร่ตรองให้รอบคอบก่อน และควรระวังคำพูดที่ไปกระทบกระเทือนจิตใจของคุณแม่ให้มากๆ นะคะ

 

ถ้าเผลอร้องไห้ อยากให้เข้าใจ และเข้ามาปลอบมากกกว่าการถามว่า “ร้องทำไม”

ข้อนี้สำคัญมากๆ เลยค่ะ ถ้าคุณแม่เผลอร้องไห้ออกมามากๆ อยากให้คุณพ่อ หรือคนในครอบครัวเข้าใจ และเข้ามาปลอบมากกว่าการถามว่า “ร้องไห้ทำไม?” เพราะคุณแม่คงไม่มีคำตอบให้ แถมยังอาจร้องไห้เยอะเข้าไปอีก

 

ไม่อยากเจอใครเลย ไม่อยากเลี้ยงลูกด้วย

บางครั้งคุณแม่ก็ไม่อยากพบเจอใครเลย อยากอยู่เงียบๆ คนเดียวด้วยซ้ำ ไม่อยากทำแม้กระทั่งเลี้ยงลูก หรืออยากจะอุ้มลูก ทั้งๆ ที่ เราเป็นคนอุ้มท้องเขามาตั้ง 9 เดือน มันเป็นสิ่งที่ทรมานมากๆ เลยนะสำหรับคนเป็นแม่

 

อยากเศร้าแทบใจจะขาดตลอดเวลา แต่บางครั้งก็ทำไม่ได้ เพราะต้องให้นมลูก

อารมณ์ที่เศร้าที่สุดมักจะยิ่งทำให้จิตใจของคนเป็นแม่อ่อนแอลงเข้าไปอีก แต่กลับต้องแสดงออกว่าเข้มเเข็ง เพราะไม่อยากให้คนรอบข้างเป็นห่วงไปมากกว่านี้แล้ว ถือว่าเป็นงานหนักของคุณแม่จริงๆ เลยนะคะ

 

รู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจเราเลย เพราะก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเช่นกัน

คุณแม่ที่เป็นโรคนี้คงไม่ต้องการให้ใครมาเข้าใจตัวเองจริงๆ หรอก เพราะว่าตัวคุณแม่เองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองแบบ 100% เช่นกัน

 

คนชอบคิดว่า แค่เหนื่อย เลยชอบหงุดหงิดไปเอง

ชอบมีคนคิดว่าคุณแม่คงแค่เหนื่อยแหละ หรือว่าคงจะยังไม่ชินที่ตัวเองต้องมีลูก เลยชอบแสดงอาการหงุดหงิดออกมา แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลยค่ะ

 

เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้คนที่อยู่รอบตัวของคุณแม่ที่เป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอดได้เข้าใจในตัวของคุณแม่บ้าง ไม่มากก็น้อย และอยากเป็นกำลังใจให้คุณแม่ทุกคนด้วยนะคะ ถ้าผ่านโรคนี้ไปได้ คุณแม่จะกลับมาสดใสร่าเริงขึ้นอีกครั้งแน่นอนค่ะ แต่จงจำไว้ว่า ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพยายามอยู่ฝ่ายเดียว คงไม่มีผลแน่นอน เพราะฉะนั้นคุณแม่ต้องสู้ไปพร้อมกับคนรอบข้างที่เขาเป็นกำลังใจให้คุณแม่ด้วยนะคะ